ถูกเดาได้ถึงตัวตนเช่นนี้ จิ่วเยี่ยก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด!
เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ตัวตนของข้าแล้ว เหตุใดถึงยังไม่ไสหัวกลับไปยังที่ของตัวเองอีก”
“ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ใด ข้าก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงข้อตกลงกับคุณหนูใหญ่เป็นอันขาด!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
“แต่กับองค์ชายจิ่วเยี่ย ท่าน…”
แววตาของกู้ไป๋อีเคร่งขรึมลง “หากมีคนรู้ถึงความสัมพันธ์ของท่านกับคุณหนูใหญ่ นางก็จะตกอยู่ในอันตรายได้ คุณหนูใหญ่ยังรับมือกับความแข็งแกร่งของศัตรูเหล่านั้นไม่ได้ ตอนนี้นางยังต้องการสภาพแวดล้อมที่มั่นคงเพื่อที่จะเติบโต!”
หากเขาเป็นยอดฝีมือคนใดคนหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศ กู้ไป๋อีก็คงจะไม่หนักใจถึงเพียงนี้
ทว่า คนผู้นี้กลับเป็นถึงองค์ชายจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิต ผู้ที่ก่อให้เกิดการนองเลือดแห่งคุกโลหิตผู้นั้น
การกระทำของคนผู้นี้เย็นชาและไร้ความปรานี ฆ่าสังหารอย่างไม่ลังเล ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่แห่งใดก็ต้องมีเสียงร้องโหยหวนของวิญญาณนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าได้สร้างศัตรูไปมากมายเพียงใด
ศัตรูเหล่านั้นรับมือกับเขาต้องระมัดระวังมากแน่นอน กลัวเขาเป็นอย่างยิ่ง และไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม
แต่กับสาวน้อยผู้นั้น…
นางยังเป็นเพียงแค่อัจฉริยะผู้น่าทึ่งที่เพิ่งจะเติบโต มีพลังวิญญาณแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเท่านั้น มันอันตรายเกินไปกับการเข้าสู่โลกอันนองเลือดขององค์ชายจิ่วเยี่ยผู้นี้
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่า คนอย่างข้าจะยอมให้ใครมาแตะต้องซีอย่างนั้นเหรอ”
เขาไม่เคยกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายซี แต่คนที่เขากลัวนั้นก็คือตัวเขาเอง!
ร่างกายของเขาสำหรับซีแล้วเป็นการมีอยู่ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ส่วนคนอื่นนั้นไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง
กู้ไป๋อีกล่าว “ได้ยินชื่อเสียงขององค์ชายจิ่วเยี่ยมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่เคยพบเห็นตัวเป็น ๆ ในเมื่อองค์ชายจิ่วเยี่ยมาถึงดินแดนสี่ทิศแล้ว พลังความแข็งแกร่งก็คงจะเหลือเพียงแค่มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงสุดกระมัง!”
“ข้า อยากท้าประลองกับท่าน!”
เขามีใจที่อยากจะท้าทายความแข็งแกร่งและมีอารมณ์ความรู้สึกอื่น ๆ ร่วมด้วย เขาจึงได้ท้าประลองกับองค์ชายผู้น่ากลัวแห่งคุกโลหิตผู้นี้ได้
หากมีผู้อื่นอยู่ตรงนี้ด้วย ก็คงจะพูดว่าเขาไม่รู้จักความเป็นความตายเป็นแน่!
ถึงแม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะยับยั้งพลังไว้ แต่องค์ชายจิ่วเยี่ยก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีผู้ใดจะเอาชนะได้อยู่ดี
“ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้นะหรือ จะมาท้าประลองกับข้า!”
“ถ้าเช่นนั้นล่ะ…” พลังชีวิตอันเย็นยะเยือกได้ระเบิดออกมา!
นึกไม่ถึงว่าพลังความแข็งแกร่งของกู้ไป๋อีจะฟื้นฟูกลับมาถึงขั้นมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเก้าแล้ว!
“พลังของเจ้าฟื้นฟูกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็ไสหัวไปให้พ้นเถอะ!”
“ก็แค่ฟื้นฟูกลับมาชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาจริง ๆ องค์ชายจิ่วเยี่ยรับคำท้าประลองของข้าหรือไม่?”
“ในเมื่อเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำให้เจ้ากลายเป็นโครงกระดูก ตอบสนองความต้องการของเจ้า!”
ที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่สถานที่ต่อสู้!
ร่างชุดขาวกับชุดดำทั้งสองร่างก็ได้อันตรธานหายไปจากเมืองเหลย
เช้าวันต่อมา มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นจิ่วเยี่ยอยู่ข้างกายนาง แต่ทันใดนั้นเองร่างของนางก็มีของหนักสิ่งหนึ่งขึ้นทับ ริมฝีปากก็ถูกปิดกั้นอย่างไร้ซึ่งการตักเตือนใด ๆ
ริมฝีปากของมู่เฉียนซีถูกกดทับอย่างรุนแรง สถานการณ์ในเช้าตรู่นี้ผิดปกติมาก มู่เฉียนซีตัดสินในแน่วแน่แล้วว่าจะต้องรีบหลอมแหวนหยกเย็นศักดิ์สิทธิ์นั้นออกมาให้เร็วที่สุด
มู่เฉียนซีใช้พลังมหาศาลจนในที่สุดก็ผลักร่างของจิ่วเยี่ยออกไปได้
นางกล่าวถามว่า “เจ้ายับยั้งไม่ได้แล้วเหรอ?”
จิ่วเยี่ยส่ายหน้าและกล่าว “เปล่า ก็แค่อยากให้ซีกลายเป็นผู้หญิงของข้าจริง ๆ สักที เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็จะอยากได้เจ้าไม่ได้!”
มู่เฉียนซีผลักเขาห่างขึ้นอีก “เจ้า…เจ้าไปแช่น้ำเย็นก่อนเถอะ ข้าจะไปหลอมแหวนให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”
ท่าทางของจิ่วเยี่ยดูจริงจังเป็นพิเศษ!
ยิ่งจริงจังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่จำเป็น! ข้ารอให้ซีหลอมแหวนให้ข้า!” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม
“นายท่านกู้!”
เย่เฉินเปิดประตูเข้ามาก็เห็นชุดสีขาวของกู้ไป๋อีเต็มไปด้วยเลือด
“นายท่านกู้ ใครทำให้ท่านบาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้ ข้าจะไปรายงานคุณหนูใหญ่!”
กู้ไป๋อีกล่าว “อย่าบอกคุณหนูใหญ่ เจ้าจัดหาที่ให้ข้ารักษาบาดแผลก็พอแล้ว”
“ขอรับ!”
กู้ไป๋อีมียาของมู่เฉียนซี อาการบาดเจ็บของเขาก็ดีขึ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็รอดแล้ว
ทว่า เขากลับดูเหมือนจะสูญเสียจิตวิญญาณไปก็มิปาน เขาแพ้แล้ว!
ต่อให้พลังความแข็งแกร่งที่เขาเคยภาคภูมิใจฟื้นฟูกลับมา แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชายผู้นั้นแล้ว นับว่ายังห่างไกลกันมาก
ชายผู้นั้นแข็งแกร่งราวกับเทพมารก็มิปาน ดูเหมือนว่าใต้หล้านี้จะไม่มีผู้ใดที่คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
ในตอนที่เขาตกลงไปกองอยู่ในกองเลือด น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกของชายผู้นั้นก็ดังขึ้น
“ซีไม่อยากให้เจ้าตาย ข้าก็จะไม่ให้เจ้าตาย!”
“เจ้าช่างอ่อนแอเกินไปแล้ว สุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่เคียงคู่ซีได้นั้นก็มีเพียงข้าแค่ผู้เดียวเท่านั้น”
กู้ไป๋อีแสยะยิ้มขึ้น เขาอ่อนแอเกินไปแล้ว!
มีชีวิตมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล่าวกับเขาเช่นนี้
นอกจากพลังความแข็งแกร่งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพยายามจะช่วงชิงบางอย่าง
ทว่า การฝึกฝนอย่างเจ็บปวดทรมานในหลายปีที่ผ่านมานี้ ทำให้เขารู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายผู้นี้เลย
เย่เฉินมองบาดแผลที่ลึกจนแทบจะเห็นกระดูกบนร่างของกู้ไป๋อี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นชายผู้เย็นชาและสูงศักดิ์ผู้นี้แสดงอารมณ์และความรู้สึกที่สิ้นหวังเช่นนี้
เขากล่าว “นายท่านกู้ ท่านชอบนายท่านเข้าแล้วใช่หรือไม่?”
กู้ไป๋อีราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใด เย่เฉินจึงกล่าวต่อ “บาดแผลของนายท่านกู้ นายท่านจิ่วเยี่ยเป็นคนทำใช่หรือไม่!”
หากเป็นศัตรู นายท่านกู้ไม่มีทางปิดบังนายท่านแน่นอน
อาการทางใจนั้นยากที่จะรักษา เขาก็นึกไม่ถึงว่านายท่านกู้ผู้เย็นชาจะมีวันที่จิตใจอ่อนไหวเช่นนี้ด้วย
“แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ นายท่านกู้ก็รีบรักษาอาการบาดเจ็บให้หายก่อนเถอะ มิเช่นนั้นจะโดนนายท่านสังเกตเห็นเอา เดี๋ยวเรื่องมันจะร้ายแรงขึ้นกว่าเดิม”
กู้ไป๋อีรีบทายารักษาบาดแผลอย่างเร็วรี่ ไม่ว่ายังไงก็จะให้รู้ไม่ได้เป็นอันขาด
ในตอนนี้มู่เฉียนซีก็ได้ไปที่ห้องหลอมอาวุธแล้ว มือข้างหนึ่งถือศิลาหยกสีขาว มืออีกข้างถือศิลาหยกสีดำ!
มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย ข้าว่าเราควรจะร่วมมือกันหลอมนะ ป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด!”
ศิลาหยกสองชิ้นนี้ ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศเกรงว่าจะมีเพียงแค่ชิ้นเดียว หากถูกทำลายลงคงต้องซวยแน่
“ตกลง!” จิ่วเยี่ยไม่ปฏิเสธมู่เฉียนซีแน่นอน
มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยร่วมมือกันหลอม และพบว่าครั้งแรกก็ทำสำเร็จแล้ว
ความเข้าใจซึ่งกันและกันของพวกเขาสองคนนั้นไม่มีปัญหา ความแข็งแกร่งของจิ่วเยี่ยกับการควบคุมเปลวไฟก็ยิ่งไม่มีปัญหา
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นคู่หลอมอาวุธที่ดีของข้าจริง ๆ เลย!”
คู่หลอมอาวุธที่ดี เรียกเช่นนี้มันแปลกประหลาดมากรู้หรือไม่ จิ่วเยี่ยขมวดคิ้วขึ้น
สองวันที่ผ่านมานี้มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยเข้ากันได้ดีมาก ในที่สุดพวกเขาก็สามารถปล่อยมือและเริ่มหลอมแหวนหยกเย็นศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว นางทำให้จิตและสมาธิของตนเองฟื้นูกลับมาในจุดที่ดีที่สุด
มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ และกล่าวว่า “เอาหล่ะ จิ่วเยี่ย เรามาเริ่มกันเถอะ!”
นางใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอม ส่วนจิ่วเยี่ยก็ช่วยนางอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว มู่เฉียนซีควบคุมมันให้หลอมรวมกันเป็นแหวนสีขาว ทุกส่วนโค้ง ทุก ๆ รายละเอียด มู่เฉียนซีตั้งอกตั้งใจทำเป็นอย่างมาก
ความตั้งใจในการหลอมแหวนวงนี้ให้เขานั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าความตั้งใจในการที่นางหลอมยาวิญญาณที่นางรักที่สุดเลย
เมื่อเห็นใบหน้าของนางที่มีความตั้งอกตั้งใจถึงเพียงนี้ แววตาที่เย็นยะเยือกของจิ่วเยี่ยก็อบอุ่นขึ้น
ตัวแหวนได้หลอมสำเร็จแล้ว จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้ใส่ศิลาหยกสีดำชิ้นนั้นลงไป
ศิลาหยกสีดำไม่ได้ละลายยากเหมือนหยกเย็นศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่มันละลาย มันก็ได้แนบติดอยู่บนแหวน และมู่เฉียนซีก็เริ่มหล่อให้เป็นรูป
ไม่นานนัก หงส์สีดำขลับดูกระฉับกระเฉงราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนตัวแหวน ลายเส้นขาวดำผสมผสานกัน ทั้งสองสีดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก และเห็นได้ชัดว่าแหวนวงนี้ทั้งสมบูรณ์แบบทั้งลึกลับ
ขั้นตอนสุดท้ายได้เสร็จสิ้นลงแล้ว จิ่วเยี่ยดับเปลวไฟลง ส่วนมู่เฉียนซีก็ใช้พลังธาตุวารีทำให้แหวนหยกเย็นศักดิ์สิทธิ์คลายความร้อนลง
หลังจากที่แหวนได้เย็นตัวแล้ว มู่เฉียนซีก็หยิบมันขึ้นมาวางลงบนมือจิ่วเยี่ย “ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี รับไว้เถอะ!”
สุดท้ายจิ่วเยี่ยก็กล่าวว่า “ซี จะให้ของขวัญข้า ไม่ใช่ทำเช่นนี้!”