ไม่ได้ให้เช่นนี้ แล้วให้เช่นไรล่ะ?
มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ยและกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าจะให้ข้าคุกเข่าแล้วสวมแหวนให้เจ้าอย่างนั้นเหรอ?”
“หากซียินยอม ข้าก็รับได้” จิ่วเยี่ยกล่าว
“เจ้าจะเพ้อฝันเกินไปแล้ว!” นี่เป็นเหมือนพิธีการขอแต่งงานเชียวนะ
“เจ้าจะเอาหรือไม่เอา?”
“อย่างน้อยเจ้าก็สวมให้ข้าสักหน่อยสิ!” จิ่วเยี่ยยื่นมือซ้ายอันเรียวยาวนั้นออกไป
มู่เฉียนซีถือแหวนและพยักหน้า “ก็ได้ ๆ ข้าสวมให้ก็ได้”
นิ้วทุกนิ้วนั้นเรียวยาวงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ คู่ควรกับแหวนวงนี้เป็นอย่างยิ่ง
ชั่วครู่หนึ่งมู่เฉียนซีก็รู้สึกยากที่จะเลือกว่าจะสวมแหวนให้เขานิ้วไหนดี
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเลือก!”
“นิ้วนี้!”
“เจ้าเลือกนิ้วนางเหรอ!” มู่เฉียนซีตกใจผงะไปเล็กน้อย
นางจำได้ว่าในยุคปัจจุบันนั้น การสวมแหวนนิ้วนางหมายถึงการแต่งงาน
เหตุใดเขาถึงเลือกได้อย่างบังเอิญเช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับยุคในตอนนี้ที่ต่างกัน เขาต้องการสวมนิ้วนี้ก็สวมให้เขาเถอะ!
เมื่อมู่เฉียนซีสวมแหวนที่นิ้วนางให้เขาแล้ว มือก็ถูกเขาดึงไป จิ่วเยี่ยคว้ามู่เฉียนซีไปกอดไว้ในอ้อมแขน
“ซีจองข้าไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร ซีห้ามปล่อยมือไปจากข้าเด็ดขาด”
เขาจับมือทั้งสองข้างของมู่เฉียนซีไว้และสอดประสานกัน!
มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย อุณหภูมิบนฝ่ามือทำให้นางใจสั่นขึ้นมา
ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นเปล่งประกายขึ้น มู่เฉียนซีมองหน้าจิ่วเยี่ยและกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย คำพูดนี้ของเจ้าผิดไปแล้ว”
“เจ้าตกหลุมพรางให้ข้าหลอมแหวนให้เจ้าเอง อีกทั้งยังให้ข้ามอบให้เจ้า ให้ข้าสวมให้เจ้า ในขณะเดียวกันข้าก็กักขังเจ้าเอาไว้แล้ว ต่อไปเจ้าหนีข้าไม่พ้นแล้ว”
เขากอดมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น “ข้าไม่เคยคิดที่จะหนีเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ริมฝีปากอันแดงระเรื่อของทั้งสองเข้าใกล้กัน จิ่วเยี่ยจูบลงบนริมปากของนาง!
เมื่อได้ยินคำพูดที่ทำให้เขาสุขใจเช่นนี้ เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก!
และสิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซีจนปัญญานั่นก็คือ ผลลัพธ์จากการที่เขามีความสุขมากนั้น แม้แต่หยกเย็นศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีผล ไม่อาจควบคุมกลิ่นอายแห่งความคลั่งไคล้นั้นได้เลย
เขาจูบนางครั้งแล้วครั้งเล่า มู่เฉียนซีก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดแหวนวงเดียวกับคำพูดเหล่านั้นของเขาถึงทำให้นางพูดคำเหล่านั้นออกไป
คำพูดเหล่านั้นทำให้จิ่วเยี่ยดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และผลลัพธ์ก็คือ…
เนื่องจากได้รับรู้ถึงความในใจของนาง เขาก็ยิ่งอยากจะกลายเป็นบุรุษของนางอย่างชอบด้วยเหตุผล
ความคิดในก้นบึ้งหัวใจของเขานั้นไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ นั่นก็คือต้องการนาง…
ผลของการที่จิ่วเยี่ยปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะหลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพรักของมู่เฉียนซี ดังนั้นจึงถูกสุ่ยจิงอิ๋งส่งตัวกลับไปในที่สุด
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “จิ่วเยี่ย ลาก่อน!”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนักว่า “จิ่วเยี่ยผู้นี้ ไม่เคยมีผู้สารภาพรักมาก่อนหรืออย่างไร ก็แค่สารภาพรักครั้งเดียวตื่นเต้นจนกลายเป็นเช่นนี้เลยเหรอ ต่อไปหากซีบอกรักเขา เขาก็คงจะกลายเป็นปีศาจร้ายจนข้าควบคุมไม่ได้เป็นแน่”
มู่เฉียนซีตกใจสะดุ้งขึ้น “สารภาพรักเหรอ!”
สุ่ยจิงอิ๋งยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นอะไรไปล่ะ นายท่านของข้าเขินอายแล้วเหรอ?”
มู่เฉียนซีหันหลังและกล่าวว่า “ขะ ข้าชอบจิ่วเยี่ยมาก ต้องการครอบครองเขา และข้าก็อยากคิดบัญชีกับเขาที่เขาได้รังแกข้าเอาไว้ ข้าจะเอาคืนทั้งหมด อีกอย่าง…”
สุ่ยจิงอิ๋งปัดเส้นผมมู่เฉียนซีที่พัดไสวและกล่าวว่า “อืม! ข้าจะติดตามนายท่าน และจะทำให้ดีที่สุด! เพียงแต่ว่าจิ่วเยี่ยผู้นั้นแข็งแกร่งมาก เป็นผู้ประหลาดคนแรกตั้งแต่ได้มีการสร้างโลกมาเลย!”
“เป็นผู้ประหลาดคนแรกตั้งแต่ได้มีการสร้างโลกมา คุยโวเกินไปหรือเปล่า!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความตกใจ
เหตุใดนางถึงรู้สึกได้ว่าความมุ่งมาดปรารถนานั้นของตนเองมันค่อนข้างที่จะเรือนราง
“แต่นายท่านก็ไม่ได้น้อยหน้า ท่านเป็นถึงเจ้านายของพวกข้าทั้งสี่ ไม่แน่บางทีอาจจะมีอย่างอื่นเพิ่มเข้ามาอีกก็ได้ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าจิ่วเยี่ยแน่นอน” สุ่ยจิงอิ๋งให้กำลังใจมู่เฉียนซี
มู่เฉียนกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”
มู่เฉียนซีเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องปรุงยาเป็นเวลาสามวัน มียาวิญญาณของมู่เฉียนซีอยู่ บาดแผลของกู้ไป๋อีก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง ไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นให้หลงเหลือไว้แต่อย่างใด
จิ่วเยี่ยไปเร็วมาก มู่เฉียนซีค้นพบว่าทักษะโยวหลัวของตนเองนั้นยังฝึกฝนได้ไม่ดีพอ เกรงว่าต่อไปคงต้องตั้งใจฝึกฝนด้วยตัวเองแล้ว
เรื่องทางด้านทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่นี้ เย่เฉินจัดการได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
มู่เฉียนซีวางแผนเอาไว้ว่าจะเดินทางไปฝึกประสบการณ์ที่ทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่แห่งนี้
“คุณหนูใหญ่!” กู้ไป๋อีเดินมาพลางกล่าว
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เสี่ยวไป๋ ในตอนที่เจ้ามาฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังความแข็งแกร่งในทุ่งรกร้างแห่งนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุ่งรกร้างแห่งนี้มีสถานที่ใดที่เหมาะในการฝึกฝนบ้าง?”
กู้ไป๋อีกล่าวถามว่า “คุณหนูใหญ่อยากจะฝึกฝนประสบการณ์อย่างนั้นเหรอ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ข้ารู้สึกได้ว่าอีกไม่นานข้าจะทะลวงพลังวิญญาณระดับสี่ได้ ก็เลยอยากจะออกไปฝึกฝนประสบการณ์เพื่อที่จะทะลวงพลังวิญญาณสักหน่อย”
กู้ไป๋อีกล่าวถาม “ทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ทุกที่ล้วนแต่มีสถานที่ที่เข่นฆ่ากันได้อย่างตามใจ แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งที่มีการเข่นฆ่ากับกลิ่นคาวเลือดที่น่ากลัวมาก สถานที่นั้นก็คือเมืองเฮยตู”
มู่เฉียนซีได้ยินเช่นนี้ก็ผงะไปครู่หนึ่ง “เมืองเฮยตู เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อน ทุ่งรกร้างแห่งนี้มีสถานที่นี้อยู่ด้วยเหรอ”
หลังจากที่นางมาถึงทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่แห่งนี้นางก็ได้อ่านตำราข้อมูลของทุ่งรกร้างแห่งนี้มาแล้ว แต่ไม่ได้กล่าวถึงสถานที่นี้มาก่อน
กู้ไป๋อีกล่าว “เมืองเฮยตู ต้องเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งถึงจะรู้ถึงสถานที่แห่งนี้ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่กองกำลังใหญ่ ๆ นำศิษย์ไปทิ้ง เป็นสถานที่ฝึกฝนความแข็งแกร่งของศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะ และเป็นที่ซ่อนตัวของผู้ที่หลบหนีความตายนั่นเอง”
มู่เฉียนซีตกใจผงะไปอีกครู่หนึ่ง “สถานที่ที่กองกำลังใหญ่ ๆ นำอัจฉริยะไปทิ้ง เสี่ยวไป๋ หรือว่าเจ้า…”
กู้ไป๋อีกล่าว “เมื่อครั้งตอนที่ข้าอายุเจ็ดขวบ ข้าถูกส่งตัวไปที่นั่น ข้ามีชีวิตรอดอยู่ที่นั่นได้ หลังจากนั้นก็ถูกท่านอาจารย์พาออกไป หากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ไปสถานที่เช่นนั้นจริง ๆ”
ทว่า เขาจะขัดนางได้หรือ ไม่สามารถขัดนางได้! นางจำเป็นต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด และต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
มิเช่นนั้นหากผู้อื่นรู้ว่านางเป็นคนเดียวที่องค์ชายจิ่วเยี่ยให้ความสำคัญมากที่สุด นางก็จะตกอยู่ในอันตราย ต่อให้เขาอยากจะปกป้องนาง เขาก็ไร้ความสามารถนั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ ครั้งตอนที่เจ้าอายุเจ็บขวบ เจ้ายังเอาชีวิตรอดอยู่ในนั้นได้เลย นี่เจ้ายังจะกลัวว่าข้าจะมีอันตรายอยู่อีกเหรอ หากที่นั่นเป็นสนามรบที่สามารถทำให้พลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นได้ ข้าก็จะไปที่นั่นอย่างไม่คิดถอยแน่นอน”
จิ่วเยี่ย เป็นผู้แข็งแกร่งที่แม้แต่สุ่ยจิงอิ๋งก็ต้องเอ่ยปากชื่นชม
นางต้องการแข็งแกร่งกว่าเขา เหนือกว่าเขา เหยียบย่ำเขา ดังนั้นจึงต้องรีบทำให้ตัวเองแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด
กู้ไป๋อีกล่าว “ในเมื่อมันเป็นการตัดสินใจของคุณหนูใหญ่ ข้าก็จะไม่ขัดขวาง แล้วคุณหนูใหญ่คิดจะเดินทางเมื่อใด?”
มู่เฉียนซีกล่าว “หลังจากที่ข้าสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เย่เฉินเสร็จเรียบร้อย วันพรุ่งพวกเราก็เดินทาง เป็นเช่นไร?”
วันพรุ่งอย่างนั้นเหรอ ใจร้อนยิ่งนัก!
กู้ไป๋อีพยักหน้าพลางกล่าว “ได้!”
ถึงแม้มู่เฉียนซีจะเดินทางอย่างกะทันหัน แต่คำสั่งต่าง ๆ ของนางนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
เย่เฉินกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “นายท่านรีบออกไปฝึกฝนประสบการณ์เถอะ เรื่องหลังจากนี้ข้าสามารถจัดการได้อยู่แล้ว”
มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว “เพียงเท่านี้มันยังไม่พอ”
“ยังไม่พออย่างนั้นเหรอ?” เย่เฉินไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของนางมากนัก
“เพียงแค่ความแข็งแกร่งของพวกเจ้ามันยังไม่พอ ข้าให้เจ้าไปซื้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเช่นไรแล้วบ้าง?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“เป็นเพราะนายท่านต้องการสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ฝึกให้เชื่อง ราคาก็เลยไม่แพง แถมยังหาซื้อง่ายอีกด้วย ด้วยเงินทองของพวกเราในตอนนี้แล้ว แน่นอนว่าซื้อมาได้ไม่น้อยเลย ตอนนี้ได้ขังไว้ในป่าเขาด้านหลังจวนเจ้าเมือง”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “พาข้าไปเถอะ!”
.
.