สายฟ้าสีเงินได้กลายเป็นพยัคฆ์ร้ายและไล่ตามมู่เฉียนซีอย่างไม่ลดละ
เมื่อการเคลื่อนไหวของมู่เฉียนซีมีความรวดเร็ว ความเร็วของพยัคฆ์สายฟ้าก็ยิ่งรวดเร็วมากขึ้นไปกว่าเดิม
“จะตามทันแล้ว จะตามได้ทันแล้ว!”
“หากทันทีที่ผู้หญิงนางนั้นถูกตามได้ทันละก็ นางจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
“……”
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
“โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
“……”
เมื่อเผชิญกับการโจมตีจากสายฟ้านั้น มู่เฉียนซีก็ได้ใช้โล่วิญญาณน้ำแข็งเพื่อป้องกัน
แต่ทว่าชั้นน้ำแข็งนั้นก็มิอาจที่จะต้านทานสายฟ้าที่ฟาดลงมาเอาไว้ได้นานนัก
“แกรก! แกรก!”
ชั้นน้ำแข็งได้ถูกสายฟ้าฟาดเสียจนแตกละเอียดร่วงกราวอยู่บนเวทีประลอง จากนั้นมันก็ได้กลายสภาพเป็นน้ำ
มู่เฉียนซียังคงถูกพยัคฆ์สายฟ้าไล่ตามอยู่เช่นเดิมและมิอาจที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลย
มหาจักรพรรดิเหลยกล่าว “เจ้าจะยังดิ้นรนต่อไปอีกหรือ?”
มู่เฉียนซีมิได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรวบรวมสมาธิทั้งหมดมุ่งไปที่การต่อสู้กับพยัคฆ์สายฟ้า
“โฮก!” เสียงคำรามของพยัคฆ์สายฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้น และพุ่งไปทางมู่เฉียนซี
ตูม! การโจมตีที่น่าหวั่นพรึงนั้นได้ถูกมู่เฉียนซีหลบหลีกไปได้อย่างน่าหวาดเสียว สายฟ้านั้นจึงได้ปะทะเข้ากับพื้นเวทีประลอง
เวทีประลองของหอคอยทมิฬนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้มันไม่ถูกผ่าให้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย จากนั้นพยัคฆ์สายฟ้าก็ได้พุ่งเข้าไปทางมู่เฉียนซีอีกครั้งหนึ่ง
จักรพรรดิเหลยกล่าว “ครั้งนี้จะต้องทำให้ผู้หญิงนางนี้กลายเป็นเถ้าถ่าน…”
“อะไรกัน?”
ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวได้จบประโยค เขาก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่ไหลไปทั่วทั้งตัวของเขา “เฟี๊ยบ!…” เสียงหนึ่งดังขึ้น
บัดนี้ที่เบื้องล่างฝ่าเท้าของเขาได้กลายเป็นตาข่ายสายฟ้าแล้วผูกมัดเขาเอาไว้
ถ้าหากว่าเขานั้นมิใช่นักบำเพ็ญภูตธาตุสายฟ้าแต่เดิม เกรงว่าคงจะได้ถูกสายฟ้าที่รวบรวมกันอยู่นั้นดูดเสียจนสลบไปแล้ว
ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? รึว่ามหาจักรพรรดิโยวเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุสายฟ้า?”
“น้ำ? มันคือน้ำ?”
ทุกคนมองไปยังบนพื้นแล้วก็พบว่าที่รอบด้านของมหาจักรพรรดิเหลยนั้นมีน้ำ พวกมันแต่ละจุดได้รวมกันเข้าเป็นตาข่ายและล้อมรอบมหาจักรพรรดิเหลยเอาไว้
“ถ้าหากหลังจากน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำไปสัมผัสเข้ากับสายฟ้าละก็ มันก็จะกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าที่อยู่บนพื้นดินขึ้นมา และมหาจักรพรรดิเหลยก็อยู่ตรงกลางที่แห่งนั้นพอดี ดังนั้น…”
“เจ้าคิดว่าพลังสายฟ้าเพียงเล็กน้อยเท่านี้จะสามารถกักขังข้าเอาไว้ได้รึ? ฝันไปเถอะ!”
มหาจักรพรรดิเหลยต้องการที่จะหนีออกมา แต่ในขณะนั้นเองมู่เฉียนซีก็ได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขาเสียแล้ว
“แต่เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว!”
“ทักษะเทียนซวน!”
การโจมตีทำลายล้างการโจมตีหนึ่งได้ระเบิดลงมาจากด้านหลังของเขา
ปัง! มหาจักรพรรดิเหลยได้กระเด็นลอยออกไปทั้งตัว พยัคฆ์สายฟ้าที่ไล่ตามฆ่ามู่เฉียนซีตัวนั้นก็ได้มลายหายไปกลางอากาศ
“มหาจักรพรรดิโยวชนะแล้ว!”
“ถึงต่อให้ชนะเข้าแล้ว มันก็เป็นการได้ชัยชนะโดยใช้เล่ห์กลและโชคดีที่ได้รับชัยชนะมา นอกจากความรวดเร็วของนางแล้ว พลังความสามารถของนางนั้นไม่เท่าไรจริง ๆ” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“ในรอบต่อไปนางจะต้องตายอยู่บนเวทีประลองอย่างแน่แท้”
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววเย็นชาฉับพลัน แผนการในรอบนี้คือการเอาชนะอย่างง่ายดายนั้นไม่เลวเลย แต่ทว่าไพ่ตายของนางนั้นยังมิได้ถูกใช้ออกมา
“รอบต่อไป!”
ไม่นานนักเงาร่างสองเงาก็พุ่งตัวพัวพันอยู่ด้วยกัน มู่เฉียนซีได้หาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามพบแล้ว จากนั้นทักษะหัตถ์ทักษะหนึ่งก็ได้ระเบิดลงมา
“ทักษะโยวหลัว!”
รูม่านตาของอีกฝ่ายหรี่เล็กลงอย่างกะทันหัน “เป็นทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
เขานั้นคิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะมีทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ มาตอนนี้จะนึกเสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว!
บึ้ม! นางได้จัดการคู่ต่อสู้คนใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอีกคน ระยะเวลาของการต่อสู้ในครั้งนี้สั้นกว่าในครั้งก่อนหน้าเสียอีก
“รอบต่อไป!”
“บัวแดงพิฆาต!”
“ทักษะโยวหลัว!”
พลังความสามารถของมู่เฉียนซีเพิ่มขึ้นไปหนึ่งระดับ อำนาจการทำลายล้างของบัวแดงพิฆาตและทักษะโยวหลัวเองก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย
การต่อสู้ทั้งสิบครั้งในชั้นที่หนึ่งนั้นไม่อาจที่จะหยุดยั้งนางเอาไว้ได้เลย
ในที่สุดโฆษกก็ได้ประกาศว่า “มหาจักรพรรดิโยวได้สำเร็จการต่อสู้ทั้งสิบครั้งและได้รับสิทธิ์ที่จะสามารถขึ้นไปยังชั้นที่สองได้”
เมื่อมู่เฉียนซีกำลังจะออกจากหอคอยทมิฬไปนั้นก็ได้มีสาวใช้แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเดินเข้ามาและกล่าวว่า “ท่านมหาจักรพรรดิโยว ฝ่าบาทเชิญให้ท่านไปหา”
ทุกคนต่างตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาทเป็นฝ่ายที่ต้องการจะพบผู้อื่นก่อน
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ไปพบ! เขามีเรื่องรีบร้อนอะไร? รอให้ข้าได้เป็นตำแหน่งราชทินนามก็มิใช่ว่าจะได้พบแล้วรึ?”
ทุกคนที่ได้ยินคําพูดนี้ต่างก็สูดอากาศเข้าปอดกันไปคนละเฮือก
นาง…นางกลับกล้าปฏิเสธคำเชิญของฝ่าบาท
ซึ่งการที่จะได้สำเร็จเป็นตำแหน่งราชทินนามนั้น หากโชคเข้าข้างก็ยังต้องใช้เวลาถึงสิบยี่สิบปี นางคงจะไม่ให้ฝ่าบาทรอนานเช่นนั้นกระมัง!
ฝ่าบาทจะไปมีความอดทนสูงแล้วรอนานเช่นนั้นได้อย่างไร!
เมื่อมู่เฉียนซีกล่าวจบก็ได้จากไปทันที
ตอนนี้นางไม่อยากที่จะพบบุรุษผู้มืดมนอันตรายผู้นั้น ฝึกฝนที่หอคอยทมิฬให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน
กู้ไป๋อีก็ยังคงปฏิบัติตัวเหมือนดังเมื่อก่อนหน้านี้ เขารอคอยอยู่ที่หน้าประตูแล้วร้องกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่!”
มู่เฉียนซีโบกมือพร้อมกล่าว “ไปกันเถอะ!”
ยังเหลืออีกตั้งแปดชั้น ด้วยเพราะการบรรลุขั้นของพลังความสามารถ ในสามชั้นก่อนหน้านี้จึงผ่านไปได้โดยนับได้ว่าราบรื่นดี
แต่ยิ่งนางไปถึงตอนหลัง ๆ มากเข้าเท่าไร ยอดฝีมือเหล่านั้นก็ยิ่งไม่อาจดูเบาได้
ทุกการต่อสู้ล้วนเป็นการสละชีวิตและเลือดเนื้อ การต่อสู้ในทุกครั้งมีความอันตรายประหนึ่งเหมือนเอาชีวิตไปแขวนไว้อยู่บนเส้นด้าย
มาบัดนี้ชุดกระโปรงสีม่วงของนางนั้นได้ถูกย้อมและแปดเปื้อนเสียจนกลายเป็นสีม่วงเข้มแล้ว
กู้ไป๋อีได้อุ้มตัวมู่เฉียนซีที่บาดเจ็บอย่างหนักจากไป นางได้ทำการท้าสู้กับทั้งแปดชั้นแรกได้สำเร็จแล้ว
มันยากที่จะเชื่อว่าผู้ที่ทำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้สำเร็จจะเป็นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่ผู้หนึ่งเท่านั้น
ในตอนนั้นที่เขาทำสำเร็จทั้งหมดนี้ พลังความสามารถของเขาได้ไปถึงระดับมหาจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่เก้าเต็มขั้นแล้ว
ทุกคนล้วนแต่ตั้งหน้าตั้งตารอการปรากฏขึ้นของฝ่าบาทองค์ใหม่
อาการบาดเจ็บในครั้งนี้หนักหนายิ่งนัก เรียกได้ว่าชีวิตอีกครึ่งหนึ่งนั้นแทบจะไม่มีอยู่แล้ว
อาการบาดเจ็บของมู่เฉียนซีกยังไม่หายอย่างสมบูรณ์ กู้ไป๋อีจะไม่ยอมปล่อยให้นางไปเข้าร่วมการท้าประลองในชั้นที่เก้าอย่างแน่นอน
กู้ไป๋อีกล่าว “โชคดีที่คุณหนูใหญ่เป็นนักปรุงยา!”
หากเป็นผู้อื่นละก็ การบาดเจ็บอย่างหนักเช่นนี้คงจะมีหนทางเพียงทางเดียวให้เลือกเดิน นั่นก็คือรอความตายสถานเดียวเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าเพิ่งจะมานึกถึงเรื่องนี้ได้เอาในตอนนี้รึ! เช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจเสี่ยงอันตราย หากเจ้าไม่มีนักปรุงยาอยู่ด้วยสักคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วบางทีเจ้าอาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้ก็ได้”
กู้ไป๋อีกล่าวตอบ “คุณหนูใหญ่ อันตรายบางชนิดสามารถทำให้ตัวคนนั้นมลายหายไปได้ภายในพริบตา และมันจะมิให้โอกาสผู้ใดในการช่วยรักษา”
“สถานที่แห่งนั้นมันคือสถานที่อะไรกันแน่?” มู่เฉียนซีค่อนข้างสงสัย
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน รอจนเมื่อถึงเวลาที่ควรจะทำแล้ว หลงฉือจะต้องพูดออกมาแน่นอน ถ้าหากว่าคุณหนูใหญ่ได้สำเร็จเป็นตำแหน่งราชทินนาม เขาจะต้องให้คุณหนูใหญ่ไปอย่างแน่นอน” กู้ไป๋อีกล่าว
หลังพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนกู้ไป๋อีถึงได้ยอมปล่อยตัวนาง มู่เฉียนซีได้รู้ข่าวเกี่ยวกับการทดสอบในชั้นที่เก้าจากกู้ไป๋อี มันเรียกว่าขุมนรกอันมืดมน
นี่เป็นสถานที่ที่เอาไว้ทดสอบพลังสมาธิ มีคนจำนวนมากมายที่ไม่สามารถทนรับได้ไหว และได้กลายเป็นคนไร้สติเลื่อนลอยหรือไม่ก็วิปลาสไปในทันที
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย “ชั้นที่เก้าของหอทั้งสามแห่ง ตามหลักแล้วควรจะเป็นอะไรที่ยากเย็นที่สุด แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นการมอบใบผ่านทางพิเศษให้แก่ข้าก็มิปาน”
กู้ไป๋อีกล่าว “คุณหนูใหญ่เองก็เป็นนักปรุงยา พลังสมาธินั้นถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่ก็มีจุดอ่อน การโจมตีทางพลังสมาธิในขุมนรกอันมืดมนนั้นรุนแรงยิ่งนัก คุณหนูใหญ่จะต้องระวังให้ดี”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “วางใจเถอะ!”
หลังจากที่นางได้เข้าไปในหอคอยทมิฬแล้ว ก็ได้มีผู้ดูแลปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของนาง
“มหาจักรพรรดิโยว วันนี้ต้องการที่จะไปท้าประลองที่ชั้นที่เก้าหรือ?”
มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วตอบ “แน่นอน”
“เชิญตามข้ามา!”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปยังชั้นที่เก้า ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก พื้นที่ข้างในก็ล้วนแต่มืดสนิท
มู่เฉียนซีอยากที่จะขยับเดินเข้าไป แต่ก็พบว่าทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้ายและด้านขวานั้นสามารถเดินไปได้แค่เพียงหนึ่งก้าว จากนั้นก็ไม่สามารถที่จะเดินเข้าไปได้อีก
เบื้องหน้านั้นมืดสนิท นอกจากลมหายใจของนางแล้วที่รอบด้านนั้นก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก มันเงียบเหงาเสียจนน่ากลัว
.
.