มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นการขังเอาไว้ในห้องมืดเล็ก ๆ รึ?
ถูกขังอยู่ในมิติเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไปนานก็จะทำให้สติของคน ๆ นั้นพังทลายลงจนถึงขั้นวิปลาสไป แต่ทว่า….
มู่เฉียนซีได้หลับตาลง ไม่รู้ว่าการทดสอบในห้องมืดเล็ก ๆ นี้จะจบลงเมื่อใด นางค่อย ๆ เรียบเรียงมรดกที่นิรันดร์ตกทอดให้แก่นาง
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ และหลังจากที่มู่เฉียนซีดำดิ่งอยู่ในโลกแห่งการปรุงยา แดนภาพลวงตาที่น่าหดหู่นี้ก็ไม่สามารถส่งผลใดแก่นางได้ทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มู่เฉียนซีได้ยินเสียงดังมาจากบริเวณรอบ ๆ ตัว
แกรก! แกรก!
มิติที่กักขังนางเอาไว้ได้แตกออก จากนั้นนางก็ได้กลับมายังกลางมิติใหญ่ของขุมนรกอันมืดมนอีกครั้งหนึ่ง
หึ่ง หึ่ง หึ่ง!
การโจมตีด้วยพลังจิตพุ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ ราวกับว่ามันจะฉีกศีรษะของนางให้แตกออกก็มิปาน
ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันเย็นยะเยือกออกมา “นั่นมันบ้าอะไรกัน อย่าได้มาสร้างความวุ่นวายแก่ข้า!”
พลังจิตได้ก่อตัวเป็นกำแพงขวางกั้นอยู่ที่รอบด้านของมู่เฉียนซี และพลังที่ถูกใช้มาโจมตีนางนั้นก็ถูกป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมด
ปัง ปัง ปัง!
มู่เฉียนซีเป็นผู้ที่หากฝ่ายตรงข้ามกล้าโจมตีเข้ามามากเท่าไร นางก็กล้าที่จะป้องกันเอาไว้มากเท่านั้น
นางรู้สึกว่ายิ่งพลังจิตที่รอบด้านแข็งแกร่งขึ้น การโจมตีของมันก็รุนแรงขึ้น ส่วนพลังจิตที่ใช้ในการป้องกันของนางเองก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
มู่เฉียนซียังคงติดพันอยู่ในหมากกระดานที่ติดตายเช่นนี้ เมื่อพลังจิตได้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นนางก็ได้ค่อย ๆ กินยาเม็ดเข้าไป ดูกันสิว่าใครจะทำให้ใครสิ้นพลังตายไปเสียก่อน
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ หลงฉือได้เชิญกู้ไป๋อีให้มาร่วมจิบชา
หลงฉือยิ้มแล้วกล่าว “ไป๋อี คนงามตัวน้อยของเจ้าได้เข้าไปในชั้นที่เก้าเป็นเวลานานมากแล้ว เจ้าไม่เป็นกังวลใจบ้างหรือ?”
กู้ไป๋อียังคงดื่มน้ำชาอย่างเงียบงันอยู่เช่นเก่า เขาไม่อยากที่จะพูดคุยกับหลงฉือแม้สักประโยคเดียว
ในการโจมตีและป้องกันอย่างไม่หยุดยั้ง มู่เฉียนซีพบว่าพลังจิตของนางเองนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
มู่เฉียนซีลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแล้วกล่าว “โดนโจมตีอยู่เรื่อยไปเช่นนี้รู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก พวกเจ้าว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่ข้าจะสวนกลับแล้วหรือยัง?”
พลังจิตของมู่เฉียนซีได้แผ่กระจายออกไปและได้ไปสะกดพลังจิตที่เข้ามาโจมตีเหล่านั้นทั้งหมดเอาไว้
กู้ไป๋อีเองก็คงนึกไม่ถึงว่าพลังจิตของมู่เฉียนซีนั้นจะวิปริตมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก แถมตอนนี้ยังเพิ่มขึ้นกว่าในตอนที่อยู่บนชั้นที่เก้าไม่น้อย
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่ชั้นที่เก้าแห่งนี้ยังมีลูกเล่นอะไรอีกก็รีบใช้ออกมาเถอะ! ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะทำให้ข้าเสียเวลาไปเป็นอย่างมากแล้ว”
“เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว ถึงต่อให้ใช้กระบวนท่าไม้ตายก็ยังมิอาจทำอะไรเจ้าได้แม้แต่น้อย เจ้าเป็นผู้เข้าท้าประลองที่มีพลังจิตวิปริตที่สุดตั้งแต่มีหอคอยทมิฬมา พวกเรายอมแพ้!”
แกรก! ประตูที่อยู่ตรงหน้าบานหนึ่งได้เปิดออก มู่เฉียนซีได้เดินออกมาจากชั้นที่เก้า
ลำแสงสีดำได้ปรากฏที่ยอดบนสุดของหอคอยทมิฬ บัลลังก์ราชทินนามสีดำสนิทอันหรูหราได้ปรากฏขึ้น
คนทั้งเมืองเฮยตูต่างล้วนตะลึงงัน “มีผู้สำเร็จเป็นราชทินนามแล้ว”
“โอ้ สวรรค์! นั่นมิได้หมายความเมืองเฮยตูของพวกเรามีราชทินนามผู้ใหม่แล้วรึ!”
“นั่นก็ไม่แน่ ตำแหน่งราชทินนามนั้นไม่เหมือนกับตำแหน่งอื่นเพราะมีเพียงสิบสองตำแหน่งเท่านั้น และไม่เคยมีเกินไปมากกว่านั้น”
เมื่อข่าวนี้ได้กระจายออกไป ราชทินนามคนอื่น ๆ ก็ได้รีบมายังหอคอยทมิฬ พวกเขาอยู่อย่างสงบมายาวนานเช่นนั้น แต่กลับมีผู้ที่จะมาแย่งชิงตำแหน่งกับพวกเขา ช่างไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ
สาวใช้คนหนึ่งได้เดินเข้ามา นางมองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “ของแสดงความยินดีกับท่านด้วย ฝ่าบาทของพวกเราขอเชิญตัวท่านไป”
การทดสอบของหอคอยทมิฬได้ผ่านไปแล้ว มู่เฉียนซีรู้สึกว่าควรจะไปพบฝ่าบาทหลงฉือผู้เป็นเจ้าแห่งเมืองเฮยตูเสียหน่อย
นางเดินตามสาวใช้ไปยังชั้นบนสุดของหอคอยทมิฬ
เมื่อประตูเปิดออกก็ได้เห็นบุรุษสองคน ผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีดำส่วนอีกผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีขาว พวกเขานั่งสงบเงียบอยู่ด้านใน และบรรยากาศไม่ค่อยดีนัก มันแฝงซ่อนไปด้วยจิตสังหาร
เมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามา หลงฉือก็กล่าวขึ้น “สาวน้อยคนงามมาแล้ว”
กู้ไป๋อีมองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “คุณหนูใหญ่ทำได้แล้ว”
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปและมองไปยังบุรุษชุดดำที่แปลกประหลาดผู้นี้ “ไม่ทราบว่าเจ้าอยากเจอข้าเพราะมีเรื่องอะไร?”
หลงฉือกล่าว “ตำแหน่งราชทินนามของทั้งเมืองเฮยตูนั้นมีเพียงแค่สิบสองตำแหน่ง หากเจ้าต้องการที่จะเป็นตำแหน่งราชทินนาม เช่นนั้นยังจะต้องทำเรื่องอีกเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ”
มู่เฉียนซีถามขึ้น “เรื่องอะไร?”
“เจ้าตัวคนเดียวต่อสู้กับราชทินนามทั้งสิบสอง ขอแค่เพียงฆ่าหนึ่งในนั้นให้ได้ผู้หนึ่ง เจ้าก็สามารถที่จะยึดครองตำแหน่งของเขาได้”
มู่เฉียนซีกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นแล้วเมื่อไรจึงจะเริ่มได้?”
หลงฉือกล่าว “ดูทีแล้วคนงามจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว พวกเขากำลังรีบมา”
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
เงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้น โดยมีราชทินนามเฮยกับราชทินนามซวงที่มู่เฉียนซีเคยพบเจอมาก่อน พร้อมด้วยราชทินนามอีกแปดคน
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่มู่เฉียนซีราวกับนักล่า เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาคิดที่จะเอาชีวิตของมู่เฉียนซี
“คิดอยากที่จะเป็นหนึ่งในสิบสองราชทินนามก็รีบมาสู้กันเถอะ! อย่าได้ให้ข้านั้นสิ้นเปลืองเวลา” ราชทินนามเหยียนซึ่งเป็นผู้ที่มีอารมณ์ขี้หงุดหงิดที่สุดในนั้นกล่าวขึ้น
ราชทินนามเฮยกล่าว “เจ้านั้นกล้าดีมาโดยตลอด คงจะไม่เกรงกลัวในการประมือกับพวกเรากระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อมากันครบแล้ว ตอนนี้ก็สามารถเริ่มได้แล้ว ไม่ทราบว่าเวทีประลองอยู่ที่ใด?”
หลงฉือเอานิ้วชี้ขึ้นไปด้านบนสุดแล้วกล่าว “ท้าสู้กับสิบสองราชทินนาม แน่นอนว่าจะต้องขึ้นไปบนเวทีลานประลองกลางอากาศของหอคอยทมิฬ นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตที่หาได้ยากนักในเมืองเฮยตู”
“เช่นนั้นก็นำทางเถิด!”
ได้ทำการทดสอบของทั้งสามหอคอยจนสำเร็จไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เพียงกลายเป็นตำแหน่งราชทินนามเท่านั้น
เมื่อได้เป็นตำแหน่งราชทินนามแล้วค่อยคิดหาหนทางจัดการกับอันตรายของกู้ไป๋อี เช่นนั้นแล้วก็สามารถไปจากสถานที่บ้า ๆ แห่งนี้ได้แล้ว
หลงฉือเดินนำหน้า ส่วนคนอื่น ๆ นั้นได้เดินตามออกไปโดยด้านหลัง กู้ไป๋อีนั้นอยู่ข้าง ๆ ตัวมู่เฉียนซี
บนเวทีประลองกลางอากาศของหอคอยทมิฬได้ปรากฏตัวฝ่าบาทหลงฉือขึ้น อีกทั้งยังมีเงาร่างของราชทินนามทั้งสิบสอง นั่นทำให้ผู้คนทั้งเมืองเฮยตูล้วนตื่นเต้นขึ้นมา
“ฝ่าบาทและราชทินนามทั้งสิบสองได้มาถึงแล้ว แล้วยังมีท่านมู่เฉียนซีอีก นี่…นี่มิใช่ว่าจะทำการท้าสู้กับราชทินนามทั้งสิบสองหรือ?”
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ท่านมู่เฉียนซีก็ใจร้อนไปแล้วกระมัง!”
“คราวนี้ได้มีอะไรสนุก ๆ ดูแล้ว!”
หลงฉือได้เดินไปด้านหน้าแล้วกล่าว “ผู้ตัดสินในครั้งนี้ก็คือข้าเอง พวกเจ้าเตรียมตัวเถิด!”
กู้ไป๋อีเองก็ได้ขึ้นไปบนเวทีประลองแล้วเช่นกัน ราชทินนามเฮยยิ้มแล้วกล่าว “พี่ไป๋อี ท่านเองก็มาแล้ว ท่านไม่กลัวว่าเพิ่มท่านเข้ามาแล้ว คุณหนูใหญ่แก้วตาดวงใจของท่านจะยิ่งไม่มีโอกาสชนะหรอกหรือ?”
คนอื่น ๆ เองต่างก็คิดเช่นนี้ กู้ไป๋อีนั้นเป็นผู้ที่แม้แต่ฝ่าบาทยังหวาดหวั่น ทันทีที่เขาเข้าร่วมสาวน้อยผู้นั้นยิ่งมิอาจที่จะมีโอกาสชนะได้เลย
กู้ไป๋อีนั้นมิได้ตอบคำถาม เขามองไปยังหลงฉือแล้วกล่าวขึ้น “หลงฉือ ประกาศเริ่มการประลองเถอะ!”
หลงฉือกล่าว “ได้! เริ่มการประลอง!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลงฉือ เงาร่างสีเงินเงาหนึ่งก็ได้พุ่งออกไป
ทุกคนต่างตะลึงงัน กู้ไป๋อีได้เริ่มลงมือแล้ว เขากลับออกกระบวนท่าได้อย่างว่องไวเช่นนี้
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือเป้าหมายของกู้ไป๋อีนั้นมิใช่มู่เฉียนซี หากแต่เป็นพวกเขา!
“หลบเร็วเข้า!”
“ราชทินนามหาน เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“เจ้า…”
ราชทินนามคนอื่น ๆ ก็รีบหลบหลีกไปอย่างเร็วรี่ จึงมิได้ถูกปราณกระบี่ของกู้ไป๋อีทำร้ายเข้า
พวกเขามองไปยังกู้ไป๋อีอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วกล่าว “กู้ไป๋อี เจ้ากำลังทำอะไร? เจ้าทรยศกฎ”
.
.