มู่เฉียนซียิ้มและกล่าว “กฎ? กฎอะไร? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหนึ่งในสิบสองราชทินนามไม่สามารถลงมือกับผู้อื่นได้”
นางมองไปที่บุรุษชุดดําและกล่าวว่า “หลงฉือ เจ้าว่าอย่างไร? พวกเจ้าดูเหมือนจะไม่มีกฎนี้กระมัง!”
พวกเขาเบิกตากว้าง กู้ไป๋อีเรียกชื่อฝ่าบาทโดยตรงก็ช่างเถอะ เพราะความแข็งแกร่งของกู้ไป๋อีนั้นช่างทําให้ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัว
แต่สาวน้อยผู้นี้กลับกล้าดียังไง ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้านี้มาจากไหนกัน
หลงฉือกล่าว “ดูเหมือนว่าจะไม่มีกฎนี้จริง ๆ!”
การท้าประลองกับราชทินนามทั้งสิบสอง ผู้ที่ถูกท้าประลองไม่เคยมีการกบฎเกิดขึ้นมาก่อน แต่ตอนนี้กลับต้องมาเจอกับกู้ไป๋อีและมู่เฉียนซีที่แปลกประหลาดคู่นี้
พวกเขาไม่เพียงแต่รู้จักกัน แต่ยังดูแลกันและกันเป็นอย่างดี
มู่เฉียนซีหัวเราะพลางกล่าว “เสี่ยวไป๋ ในเมื่อไม่มีกฎนี้ พวกเรามาสั่งสอนพวกเขาด้วยกันเถอะ!”
ราชทินนามพวกนั้นถึงกับตะลึงงัน เสี่ยวไป๋!
เป็นที่น่าตกใจที่มีคนเรียกบุรุษที่เย็นชาราวกับหิมะน้ำแข็งผู้นี้ว่าเสี่ยวไป๋! สาวน้อยผู้นี้…ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!
กู้ไป๋อีกล่าว “ตกลง!”
กระบี่ของกู้ไป๋อีฟาดฟันลงมาอีกครั้ง!
มู่เฉียนซีหยิบกระบี่สองเล่มออกมา “เงาจันทราเหมันต์!”
“มังกรเพลิงสังหาร!”
เงาร่างสองร่างพุ่งออกไป ราชทินนามเหล่านี้เสมือนดั่งพบเจอกับสัตว์ร้ายคลั่งสองตัวก็มิปาน
มู่เฉียนซีบวกกับกู้ไป๋อีที่เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ พวกเขาไม่อาจผ่อนคลายได้เลยแม้แต่น้อย
คนที่ดูการประลองครั้งนี้ก็ต้องตกใจเช่นกัน “ท่านราชทินนามหานช่วยมู่เฉียนซี ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีอาจจะชนะการประลองในครั้งนี้!”
“หลายปีมานี้ การท้าประลองสิบสองราชทินนามไม่เคยมีใครในสิบสองราชทินนามช่วยคนนอกมาก่อน ราชทินนามหานนับได้ว่าเปิดแม่น้ำสายแรก!”
“……”
กู้ไป๋อีคนเดียวสกัดกั้นไว้ได้สิบคน ภายใต้ปราณกระบี่อันเย็นชานั้นในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทําไมฝ่าบาทถึงได้กลัวกู้ไป๋อี
แต่…
หลงฉือมองไปยังเงาร่างสีขาวนั้น แววตาเพ่งมองไปอย่างจดจ่อ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ากู้ไป๋อีดูอ่อนแอลง
เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันเป็นเพราะการควบคุมของเมืองเฮยตูที่ทําให้เขารู้สึกไปเองเช่นนี้
ราชทินนามเฮยพุ่งเข้าไปหามู่เฉียนซี “คราวที่แล้วข้าถูกเจ้าลอบทําร้าย ครั้งนี้ข้าจะกลับคืนสู่สนามประลองอย่างผ่าเผย”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าจะไม่ขายหน้าไปทั่ว!”
“คนขายหน้าจะต้องเป็นเจ้า!” ราชทินนามเฮยหยิบดาบปลายโค้งสีดําออกมา
ตอนนี้กู้ไป๋อีไม่สามารถมาดูแลมู่เฉียนซีได้ ดังนั้นนางจึงต้องเริ่มจริงจังกับสาวน้อยผู้นี้
ทันใดนั้นหลงฉือก็มองมาที่นางอย่างเย็นชา ใบหน้าของราชทินนามเฮยดําคล้ำ ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้สาวน้อยผู้นี้ตาย ช่างยุ่งยากเสียจริง!
ในเมื่อฆ่าไม่ได้ ก็ต้องคิดสั่งสอนสาวน้อยผู้นี้ให้ดี
ปัง! กระบี่มังกรเพลิงปะทะเข้ากับดาบดําของนาง
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! เข็มยาของมู่เฉียนซีลอยออกมา
ไม่ว่าคนของเมืองเฮยตูจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน ก็ล้วนถูกควบคุมให้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นที่เก้าสูงสุด
ไม่ว่าความแข็งแกร่งของคนกลุ่มนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็เพียงแค่สูงกว่านางห้าขั้นเท่านั้น ราชทินนามเฮยก็เช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ต่างกันเพียงห้าขั้น แม้ว่าพลังการต่อสู้ของพวกเขาจะไม่ใช่สิ่งที่เทียบได้กับระดับจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น แต่มู่เฉียนซีก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเอาชนะนางได้
“บัวแดงพิฆาต!“
เมื่อดอกบัวสีแดงระเบิดออกมา ราชทินนามเฮยก็หยิบร่มสีดําออกมาขวางตรงหน้านางไว้
นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยเห็นการต่อสู้ของเจ้ามานานแล้ว ข้ารู้กระบวนท่าของเจ้าดี กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าดูเหมือนจะทําอะไรข้าไม่ได้”
ร่มคันนี้ป้องกันพลังทั้งหมดของมู่เฉียนซีไว้ได้ ราชทินนามเฮยไม่มีบาดแผลเลยสักนิด!
เงาร่างสีม่วงพุ่งออกไป มู่เฉียนซีเข้ามาใกล้ราชทินนามเฮยแล้วกล่าวว่า “แล้วอย่างไรเล่า? ข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้!”
ตูม!
ขณะเดียวกันนั้น กู้ไป๋อีก็ได้ทําลายตําแหน่งราชทินนามไปหลายคน
หลงฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าขยะ ไม่สามารถเทียบได้กับกู้ไป๋อีสักคนหนึ่ง โชคดีที่กู้ไป๋อีกลับมาแล้ว มิเช่นนั้นการไปสถานที่แห่งนั้นในครั้งนี้คงไร้ประโยชน์อีกครา”
มู่เฉียนซีและราชทินนามเฮยกําลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด ราชทินนามเฮยที่จับมู่เฉียนซีไม่ได้สักทีสีหน้าก็หม่นคล้ำลง
“บ้าเอ๊ย!”
หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งถูกสะกดเอาไว้ นางเพียงแค่ขยับนิ้วก็จะสามารถกําจัดสาวน้อยนางนี้ได้
ราชทินนามเฮยแข็งแกร่งมาก แต่ละคนในสิบสองราชทินนามต่างก็รับมือนางได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายที่นางเข้าใจในทุกกระบวนท่าแล้วเลย
ดังนั้นมีเพียงวิธีสุดท้ายนั่นก็คือทำให้อีกฝ่ายสิ้นเปลืองพลังกายและพลังวิญญาณ
“ร่างที่น่ารําคาญ!” ทุกครั้งที่โจมตีมู่เฉียนซี นางสามารถโจมตีได้เพียงเงา ทําให้ราชทินนามเฮยโกรธมากยิ่งขึ้น
ปัง ปัง ปัง!
“หรือว่าราชทินนามเฮยและมู่เฉียนซีถูกลิขิตให้เป็นตำแหน่งราชทินนามเพียงผู้เดียว”
“ราชทินนามเฮยเป็นสตรีเพียงคนเดียวในสิบสองราชทินนาม ท่านมู่เฉียนซีก็เป็นสตรีรุ่นใหม่ที่โดดเด่น การต่อสู้ระหว่างพวกนางทั้งสองช่างยอดเยี่ยมนัก”
“……”
เมื่อคนใต้หอคอยเห็นการต่อสู้ของพวกเขาทั้งสอง ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างหาที่เปรียบมิได้
“เจ้า…ทําไมเจ้าถึงมียามากมายขนาดนี้?” มู่เฉียนซีสู้ไปพลางกินยาไปพลาง แต่ราชทินนามเฮยกลับทําเช่นนี้ไม่ได้!
นางไม่เคยคิดเลยว่านางจะไม่สามารถจัดการกับมู่เฉียนซีได้ในเวลานานขนาดนี้ ยาฟื้นฟูพลังวิญญาณและพละกําลังของนางยังไม่เพียงพอ
หลงฉือกล่าวว่า “สาวงามผู้นี้ฉลาดมาก!”
แข็งเจอแข็ง มู่เฉียนซีอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชทินนามเฮย
แม้ว่าระดับขั้นของนางจะถูกควบคุม แต่นางก็มีชีวิตอยู่มาเป็นระยะเวลานานและด้วยประสบการณ์การต่อสู้มากมายนั้นทําให้นางแข็งแกร่งพอ
ทุกคนในเมืองเฮยตูไม่มีใครอ่อนแอ
ราชทินนามเฮยสูญเสียพลังวิญญาณไปทําให้นางไร้เรี่ยวแรง นางทําได้เพียงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น “ราชทินนามเหยียน ช่วยข้าด้วย!”
ตอนนี้ราชทินนามเหยียนถูกห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่ของกู้ไป๋อี แม้ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด
ในเวลานี้ หลงฉือก็เดินออกมาและกล่าวว่า “เอาล่ะ ทั้งหมดหยุดเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนตะลึงงัน “หยุด!”
“การแข่งขันยังไม่ได้สรุปผลมิใช่รึ? ทําไมถึงหยุดล่ะ?”
“……”
พวกเขาจำเป็นต้องฟังคําสั่งของฝ่าบาท
มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กําลังวางแผนอะไรอยู่ จึงได้แต่หยุดมือก่อน
หลงฉือกล่าว “ความแข็งแกร่งและความสามารถของมู่เฉียนซี ทุกคนคงได้เห็นแล้ว”
“ที่ผ่านมานางเป็นผู้ที่มีพละกำลังอ่อนแอที่สุดแต่สามารถบุกผ่านหอคอยทั้งสามแห่งของเมืองเฮยตูได้ด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด คนเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทําให้ข้าแหกกฎให้นางได้ เป็นตําแหน่งราชทินนามที่สิบสามในเมืองเฮยตูของข้า”
“ตอนนี้ ข้าขอประกาศว่ามู่เฉียนซีเป็นราชทินนามอันดับที่สิบสามในเมืองเฮยตู”
หลังจากเสียงนั้นของหลงฉือดังขึ้น ด้านหลังของมู่เฉียนซีก็ปรากฏเป็นที่นั่งสีดําสนิทที่นั่งหนึ่ง
เมื่อพระที่นั่งปรากฏ หลงฉือก็กล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการที่จะเป็นราชทินนามที่สิบสามก็นั่งลงซะ!”
มู่เฉียนซีเดินไปนั่งบนเก้าอี้สีดําที่หรูหรานี้อย่างใจเย็นและกลิ่นอายที่เย็นเฉียบก็ได้แผ่ซ่านออกมา
หลงฉือกล่าวว่า “ต่อไปข้าจะให้ฉายาเจ้า นับแต่นี้ไป เจ้าจะเป็นราชทินนามที่สิบสามแห่งเมืองเฮยตู”
ตัวอักษรโยวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
คนที่อยู่ด้านล่างหอคอยคุกเข่าลงและกล่าวว่า “คารวะท่านราชทินนามโยว!”
“ท่านราชทินนามโยว!”
“……”
“ยินดีด้วยท่านราชทินนามโยว”