มู่เฉียนซีรู้ว่ากู้ไป๋อีโกรธจริง ๆ เข้าแล้ว จึงยิ้มแล้วกล่าว “เอาล่ะ ไม่แหย่เจ้าแล้ว ตามข้ามา”
กู้ไป๋อีนึกว่ามู่เฉียนซียอมแพ้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่านางจะหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว แถมยังจองห้องเรียบร้อยเสร็จสรรพ จากนั้นก็ให้เขารออยู่ที่ด้านนอก
ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ผู้ที่เดินออกมานั้นมิใช่สตรีที่มีรูปโฉมงดงามอย่างที่สุด แต่กลับเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาไม่เหมือนใคร
รูปลักษณ์ของนางเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แต่ไฉนเลยที่กู้ไป๋อีจะจดจำนางไม่ได้
“คุณหนูใหญ่ นี่…”
มู่เฉียนซีหยิบเอาพัดพับออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยความหล่อเหลา “ไป๋อี ตอนนี้เจ้าต้องเรียกข้าว่าคุณชายแล้ว!”
ใบหน้าที่ดูเย็นชาของกู้ไป๋อีในบัดนี้ได้มีสีสันมากขึ้นมาแล้ว
เขาพลันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง เขามองที่มู่เฉียนซีอย่างตกตะลึงแล้วกล่าว “คุณชาย ท่าน…ท่านปลอมเป็นชายเช่นนี้ คงมิได้คิดที่จะ…”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าไม่ยินยอมที่จะไปนี่นาเสี่ยวไป๋ เช่นนั้นข้าจึงทำได้เพียงต้องเสียสละตนเองแล้ว”
“คุณหนูใหญ่ก็มิได้ชอบสตรีเพศ เหตุจึงต้องไปร่วมสนุกด้วยเล่า?”
แววตาของมู่เฉียนซีมืดครึ้มลง ก่อนจะกล่าว “ที่ตัวของคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าเมืองผู้นั้นมีกลิ่นอายของพิษที่ข้าคุ้นเคย หากต้องการที่จะเข้าไปใกล้นาง แน่นอนว่าจะต้องเอาชนะการประลองหาคู่ในครั้งนี้”
กู้ไป๋อีตะลึงค้าง “สำนักขวางโซ่ว?”
“ยังมิอาจแน่ใจได้อย่างแน่ชัด ไปลองดูเดี๋ยวก็รู้” จากนั้นมู่เฉียนซีก็ก้าวเดินออกไป
“คุณหนูใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นเพราะจะต้องไปสืบหาความจริง ให้ข้าไปเสียก็ได้แล้ว”
ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากที่จะไปเข้าร่วมการประลองหาคู่ของหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่ง แต่จะอย่างไรเสียเขาก็มิอาจปล่อยนางที่เป็นเด็กสาวไปเพียงตัวคนเดียวได้
“เมื่อครู่เจ้าต่อต้านเสียเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนตนเองและทำให้สำเร็จเพื่อข้าหรอก! อย่างไรเสียข้าก็เป็นสตรีนางหนึ่ง เข้าร่วมแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรนัก แต่เจ้านั้นเป็นบุรุษที่แท้จริง ถ้าหากว่าคุณหนูใหญ่ผู้นั้นพัวพันตอแยเจ้าแล้วเจ้าจะทำเช่นไร?”
เมื่อเงาร่างสีม่วงเคลื่อนไหวออกไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉียนซีก็ได้ไปถึงตรงที่เวทีประลองแล้ว กู้ไป๋อีอยากที่จะหยุดยั้งนางแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้แหวกหญ้าให้งูตื่น เสี่ยวไป๋เจ้าจงแสร้งเป็นไม่รู้จักข้าเป็นการชั่วคราว จงมองดูข้าสยบคู่ต่อสู้ทั้งใต้หล้าแล้วอุ้มสาวงามกลับมานะ!” มู่เฉียนซีกล่าวเชิงหยอกล้อขบขัน
เมื่อมู่เฉียนซีกลับไปถึงตรงบริเวณเวทีประลอง บนเวทีนั้นได้ต่อสู้กันไปหลายรอบแล้ว มู่เฉียนซีตัดสินใจที่จะรอดูความเป็นไปก่อน
บัดนี้ชายผู้มีมัดกล้ามเนื้อที่อายุราวสามสิบปีได้ต่อสู้ชนะต่อเนื่องมาแล้วทั้งสิ้นเจ็ดรอบ
เขาลงมืออย่างโหดเหี้ยม ล้วนแล้วแต่ทำเอาคู่ต่อสู้บาดเจ็บอย่างหนัก
ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะขึ้นไปท้าประลองกับเขาแล้ว ในตอนนี้เองเงาร่างสีม่วงก็ได้กระโดดขึ้นไปยังบนเวทีประลองแล้วกล่าว “ข้าน้อยมู่ซี ขอท้าประลองกับท่าน”
เป็นเด็กหนุ่มผู้ที่หล่อเหลาไม่เหมือนใครผู้หนึ่ง ร่างกายนั้นบอบบางอีกทั้งยังไม่ค่อยจะสูงสักเท่าไร เมื่อดูแล้วอายุก็ยังไม่เยอะเท่าไรเช่นกัน
ซุนกางหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า! ไอ้หนู เจ้ากล้าที่จะท้าประลองกับข้า? ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลยกระมัง! แต่กลับคิดเรื่องแต่งภรรยาเสียแล้ว”
มู่เฉียนซีได้นำกระบี่ยาวธรรมดาเล่มหนึ่งออกมา มู่เฉียนซีกล่าวอย่างทะนงตน “ข้าจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือไม่นั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ธุระอะไรของท่าน หากคิดที่จะล้มท่าน กระบวนกระบี่ของข้าเพียงท่าเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
“คุยโวแต่กลับไม่เขียนร่างคำพูดดูเสียหน่อย!”
ซุนกางเหวี่ยงกำปั้นออกไปแต่ยังไม่ทันที่จะรอให้เขาได้ลงมือ มู่เฉียนซีก็ได้หายไปจากเบื้องหน้าของเขาแล้ว
ซึบ ซึบ ซึบ! ทันทีที่แสงของกระบี่สาดส่องบนร่างของซุนกางก็พลันปรากฏร่องรอยโลหิตขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
ทุกคนในที่นั้นล้วนแต่ไม่อาจมองเห็นได้อย่างแน่ชัดว่ามู่เฉียนซีได้ออกกระบวนท่าไปอย่างไร แต่ซุนกางก็ได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว
จากนั้นมู่เฉียนซีได้ถีบเท้าออกไป ซุนกางได้ลอยลงไปจากเวทีทั้งตัว
แม้แต่ระดับของมู่เฉียนซีพวกเขาก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ก็คือการโจมตีเมื่อครู่นี้แฝงไปด้วยพลังลมปราณ เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง
เจ้าเมืองเทียนอวิ่น จูเก่อหยางกล่าว “เด็กหนุ่มผู้นี้เก่งกาจจริง ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่งก็ตาม แต่กลับมิได้อ่อนแอไปกว่าผู้บำเพ็ญภูตที่อยู่ระดับขั้นเดียวกันเลย”
เพื่อที่จะไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นมู่เฉียนซีจึงได้ทำให้ตนเองดูเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง
แม้ว่าจะมิได้ใช้ทักษะวิญญาณ แต่การรับมือกับคนเหล่านี้ก็มิได้ยากเย็นนัก
มู่เฉียนซีเอาชนะซุนกางอย่างสวยงาม ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกตะลึง แต่ก็ยังมีคนดาหน้าเข้ามาหานางอย่างไม่ขาดสาย
การชนะการต่อสู้เมื่อครู่เป็นเพียงโชคช่วยเท่านั้น ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มที่อายุน้อยเช่นนี้จะมากสักเพียงใด?
“จักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่สี่ เด็กหนุ่มผู้นี้เก่งกาจจริง!”
“พรสวรรค์เช่นนี้สำหรับในทุ่งรกร้างแล้วเกรงว่าคงจะหาตัวได้ไม่ถึงสิบคน”
ปัง ปัง ปัง!
แต่ทว่าระดับขั้นของพวกเขานั้นสูงกว่ามู่เฉียนซี แต่ก็ยังถูกมู่เฉียนซีถีบลงจากเวทีประลองโดยไร้ซึ่งความบังเอิญแม้แต่น้อย
“ไอ้วิปริตนี่สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ถึงกี่ขั้นกันแน่!”
ผู้ที่มีระดับขั้นสูงกว่าเขาหนึ่งระดับก็พ่ายแพ้ สูงกว่าสองระดับขั้นก็ยังพ่ายแพ้ สามระดับขั้นก็ยังพ่ายแพ้เช่นกัน….
“ความรวดเร็วของเขา ทักษะกระบี่ของเขาล้วนแต่ทำให้เขาสามารถยืนอยู่บนจุดที่ไร้พ่ายได้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ได้”
จนเมื่อจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเข้ามาท้าสู้แล้วพ่ายแพ้นั้น ก็ไม่มีผู้ใดขึ้นมาท้าสู้อีก
ถึงต่อให้พวกเขามีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถที่จะโจมตีถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เลย ความรวดเร็วของเขาช่างแปลกประหลาดนัก
เจ้าเมืองจูเก่อเดินออกมาพร้อมหัวเราะแล้วกล่าว “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ดี! ดีเยี่ยม! นับแต่โบราณมาวีรบุรุษนั้นกำเนิดขึ้นตั้งแต่อายุยังเยาว์ คุณชายผู้นี้อายุยังหนุ่มแน่นแต่พลังความสามารถนั้นกลับไม่ธรรมดาทั่วไป”
“คุณชาย โปรดตามข้าไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อสนทนากัน”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าวตอบ “เช่นนั้นก็…ทำตัวนอบน้อมถ่อมตนมิสู้ปฏิบัติตามคำท่านแล้ว”
กู้ไป๋อีที่อยู่กลางฝูงชนมองเห็นมู่เฉียนซีไปกับเจ้าเมืองจูเก่อ เขาเองก็ได้ติดตามไปอย่างเงียบ ๆ
“ใครก็ได้! จงชงชาชั้นดีมา!”
เจ้าเมืองจูเก่อสอบถามถึงเชื้อสายวงศ์ตระกูลของมู่เฉียนซี แน่นอนว่ามู่เฉียนซีได้ปกปิดเอาไว้ และบอกกล่าวไปว่านางเป็นเพียงเด็กกำพร้า ทุกสิ่งอย่างนางสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ก็ดีสิ! เจ้าเมืองจูเก่อจึงได้จัดเรื่องงานแต่งงานของเขากับคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็วดุดันภายในสามวันให้หลัง
เห็นอยู่ว่าหลังจากนี้สามวันจะจัดงานแต่งงาน แต่ทว่าคุณหนูใหญ่ผู้นั้นกลับนั่งไม่ติดเสียแล้ว
“นายท่าน หลังจากงานแต่งอีกสามวันค่อยลงมือ เช่นนี้ถึงจะไม่ก่อให้ผู้คนเกิดความสงสัย ถ้าหากว่าจัดการเสียตอนนี้ละก็ เกรงว่า…”
“ไม่มีอะไรให้กังวลนัก ข้าอดทนรอมิได้นานเช่นนั้น แต่ข้าจะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดต่อไป เช่นนั้นก็จะไม่ก่อให้ผู้คนเกิดความสงสัย” เสียงอันแหบแห้งเสียงหนึ่งดังลอยมา
“เช่นนั้น เรื่องทั้งหมดทำตามคำสั่งของท่าน”
มู่เฉียนซีถูกจัดให้อยู่ในห้องพักที่ดีที่สุดของเมืองเทียนอวิ่น เดิมทีคิดว่าปลาจะมาติดเบ็ดก็ต่อเมื่อสามวันให้หลังซึ่งเป็นวันจัดงานแต่งงาน!
แต่เมื่อในห้องมีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมานั้น มุมปากของมู่เฉียนซีก็ค่อย ๆ ยกขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าปลานี่กลับอดใจรอไม่ไหวแล้วเข้าอวนมาแล้ว ครานี้มีละครสนุกให้ดูแน่”
พิษนี้สามารถทำให้คนสูญสิ้นสติไปอยู่ในสภาวะมึนงง
มู่เฉียนซีนอนแผ่อยู่บนเตียง เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งก็ได้ทอดลงมายังเตียงของนาง
“หน้าตาช่างหล่อเหลายิ่งนัก ทำให้ข้าไม่สามารถรอได้แม้แต่ชั่วเวลาหนึ่ง สบายใจได้! ข้าจะไม่ให้เจ้าตายไวไปนักหรอก อีกทั้งยังจะให้เจ้าได้มีความสุข”
มู่เฉียนซีตกตะลึงเล็กน้อย หญิงสาวผู้นี้ที่เข้ามาใกล้นาง นางกลับรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังน้ำเสียงนั้น…
ในตอนที่หญิงสาวผู้นั้นกำลังจะเปลื้องผ้าของมู่เฉียนซีนี่เอง มู่เฉียนซีได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา
นางมองเห็นดวงตาสีดำขลับที่เย็นยะเยือกคู่นั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จักกันมาก่อน
“เจ้า…เจ้า…เจ้าตื่นขึ้นมาได้อย่างไร”
ปัง! เมื่อมู่เฉียนซีสะบัดมือก็ได้ดึงผ้าที่ปิดหน้าของนางผู้นั้นออกมากด้วย
เกรงว่าคนหนุ่มเหล่านั้นที่มาเข้าร่วมงานประลองหาคู่ในครั้งนี้คงจะนึกไม่ถึงว่า ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีขาวจะกลับมีสภาพเช่นนี้!