เมื่อเจ้าเมืองชางมองเห็นพวกมู่เฉียนซีก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เขารีบให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาร่อนลงไปและอยู่ให้ห่างจากเจ้าเมืองหู่ที่กำลังระเบิดอารมณ์
แน่นอนว่าเจ้าเมืองหู่เองก็สังเกตเห็นพวกมู่เฉียนซีแล้ว เขากำหมัดเอาไว้แน่น บนมือของเขามีเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมา
“พวกเจ้าคงไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วกระมัง! กลับกล้าที่จะมาขัดขวางการโจมตีของข้า”
เจ้าเมืองชางกล่าว “เจ้าเมืองหู่ พวกเราล้วนแต่มาเมืองซีเจว๋เพื่อเข้าร่วมการประลองและเข้าร่วมทำการใหญ่เพื่อปราบสำนักขวางโซ่ว ข้ายังไม่ทันที่จะลงถึงพื้นเจ้าก็ออกมือโจมตีข้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เจ้าเมืองหู่เบิกตากว้างโพลงแล้วกล่าว “จะอย่างไรเล่า? บุตรชายคนเล็กของข้าตายในเมืองชางหมางของเจ้า แน่นอนว่าข้าจะต้องฆ่าเจ้าเพื่อระบายความแค้น”
“เจ้าก็จะไร้เหตุผลเกินไปแล้วกระมัง! ในคืนนั้นสำนักขวางโซ่วได้ลงมือกับเมืองชางหมางของข้า พวกเราชาวเมืองชางหมางก็ล้มตายไปไม่น้อย บุตรของเจ้าตายในเมืองชางหมางก็ต้องโทษได้แต่ว่าเขานั้นโชคไม่ดี แต่เจ้ากลับเอาความโกรธเกรี้ยวลามมาถึงข้า”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าเป็นเจ้าเมืองชางหมาง ไม่มาชำระแค้นกับเจ้าแล้วข้าจะไปชำระแค้นกับใคร” เจ้าเมืองหู่นั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลเลยแม้แต่น้อย
เขานั้นรู้ดียิ่งนักว่าไม่ใช่สำนักขวางโซ่วที่เป็นผู้ฆ่าบุตรชายของเขาอย่างแน่นอน แต่มันมีผู้อื่น
เจ้าบ้านี่รู้อยู่ชัด ๆ ว่าผู้ใดเป็นผู้ที่ฆ่าบุตรชายของเขาแต่กลับไม่ยอมบอกแก่เขา เมื่อหลบอยู่ในเมืองชางหมางเขาไม่สามารถที่จะลงมือกับเจ้าเมืองชางหมางได้ แต่มาวันนี้เจ้าเมืองชางได้ออกมาด้านนอกแล้ว ไฉนเลยเขาจะเกรงใจ
ยังไม่ทันที่จะเข้าประตูเมืองก็ได้เกิดการชักกระบี่ขึงสายหน้าไม้ขึ้นมาราวกับว่าจะสู้กันเสียให้ตายกันไปข้าง ทหารรักษาการณ์เองก็จนปัญญายิ่งนัก
“เจ้าเมืองหู่ โปรดระงับโทสะ ขอให้ท่านจงเห็นแก่หน้าเจ้าเมืองของเราด้วย อย่าได้ลงมือกันที่หน้าประตูเมืองเลย”
แม้ว่าเจ้าเมืองหู่จะหยิ่งยโสและอารมณ์ร้อน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เกินงามมากเกินไป
เขากล่าวตอบ “ได้ ข้าจะไม่ลงมือกับไอ้เฒ่านี่เป็นการชั่วคราว แต่เมื่อครู่นี้ผู้ใดที่ออกกระบี่ลอบโจมตีข้า ก็จงตัดแขนทั้งสองข้างของตนเสียเถอะ!”
สายตาอันชั่วร้ายของเขาจับจ้องไปที่ตัวของกู้ไป๋อี
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยสีหน้าอันเย็นชา “เจ้าเมืองหู่ พวกเราแค่ทำเรื่องที่ยุติธรรมเท่านั้น เจ้าเองก็มิได้เสียแขนขาไปสักหน่อย แล้วจะมาให้คนของข้าตัดแขนตนเองทั้งสองข้าง นี่มันจะมากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!”
เจ้าเมืองหู่มองไปทางมู่เฉียนซี เด็กสาวผู้นี้งดงามยิ่งนัก
แต่ทว่าสำหรับเขาแล้ว ในทุ่งรกร้างแห่งนี้หญิงสาวที่งดงามก็เป็นได้แค่เพียงของเล่นของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น ไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะสามารถกล่าววาจากับเขาได้
“สาวน้อย ที่นี่ยังไม่มีที่ที่ให้เจ้าพูด ให้คนที่มีสิทธิ์ที่จะพูดกล่าวได้ออกมา”
มู่เฉียนซีกล่าว “คำสั่งเมื่อครู่นี้ข้าเป็นผู้สั่ง เจ้าคิดว่าข้ายังไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดกล่าวอีกหรือไม่?”
“สาวน้อย เจ้าช่างกล้าดีนัก เจ้ากล้าที่จะเป็นปฏิปักษ์กับข้า” เจ้าเมืองหู่ยิ่งโมโหมากขึ้นไปกว่าเก่า
“วันนี้หากข้าไม่จัดการกับเจ้าให้ดีเสียหน่อยพวกเจ้าก็อย่าได้คิดที่จะเข้าเมืองไปได้เลย” เจ้าเมืองหู่คิดที่จะลงมือ
มู่เฉียนซีก็มิได้ห้ามปรามเขา ในเมื่อเจ้าเมืองหู่เองก็มาร่วมในการชุมนุมครั้งใหญ่นี้ เกรงว่าเขาคงจะมีแผนการบางอย่าง
การได้เรียนรู้ว่าพวกเขามีทักษะเช่นไรก่อนที่จะเข้าไปในเมืองซีเจว๋ก็ไม่เลว
“เอาก็เอาสิ ใครกลัวเจ้ากันเล่า?” มู่เฉียนซีกล่าวท้าทายอย่างหยิ่งยโส ทั้งสองฝ่ายต่างถึงขั้นชักกระบี่ขึ้นสายหน้าไม้ใส่กัน ทหารรักษาการณ์ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวโน้มน้าวได้แล้ว ทั้งสองคนนั้น ผู้หนึ่งก็หยิ่งยโสไม่ฟังใครยิ่งกว่าอีกผู้หนึ่งเสียอีก
ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าต่อสู้กัน พลันนั้นก็มีเสียงที่อ่อนโยนเสียงหนึ่งลอยมา
“ท่านเจ้าเมืองหู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ยังมิทันได้เข้าไปในเมืองซีเจว๋ของข้าเลย! จิตสังหารของท่านก็พุ่งพล่านเช่นนี้ นี่นับเป็นการไม่เห็นแก่หน้าข้าตงกัวมากไปหน่อยแล้วกระมัง!”
ชายหนุ่มอายุราวสามสิบปีผู้หนึ่งได้เดินออกมาจากด้านในเมือง เขาสวมใส่อาภรณ์สีขาวทั้งตัวและถือพัดอยู่เล่มหนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยเพราะรอยยิ้ม หางตาก็เรียวยาวขึ้น ใบหน้าดูธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่รอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยการขบคิดวางแผนเล่นงานจึงทำให้ผู้คนต่างไม่กล้าที่จะดูเบาบุรุษผู้นี้
เมื่อตอนที่เขาเดินออกมานั้น เจ้าเมืองหู่ก็ได้หยุดยั้งลงไปแล้วไม่น้อย
“คนพวกนี้มาทำลายเรื่องดี ๆ ของข้า มิเช่นนั้นแล้วข้าก็จะยังรักษากฎอยู่บ้างหรอก”
เมื่อเห็นบุรุษผู้นี้เข้ามาแล้ว เจ้าเมืองชางก็รีบร้อนกล่าวร้องทุกข์ “รองเจ้าเมืองตงกัว ท่านไม่รู้อะไร เมื่อตอนที่ข้ากำลังจะลงสู่พื้นดินนั้นเจ้าเมืองหู่ก็ลงมือกับข้า ถ้าหากว่าเป็นการล้อเล่นก็ไม่เป็นไร แต่นี่เขากลับลงมืออย่างเอาเป็นเอาตาย”
“ถ้าหากมิใช่ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ออกโรงช่วยเอาไว้ เกรงว่าที่ท่านพบในตอนนี้คงจะเป็นศพของข้าเสียแล้ว ข้าตอบรับการเรียกขานของเมืองซีเจว๋และมาไกลนับพันลี้ หากต้องตายอยู่ที่ประตูเมืองก็ไม่รู้ว่าผู้อื่นนั้นจะพากันพูดคุยอย่างไรเกี่ยวกับเมืองซีเจว๋”
“อีกทั้ง…”
เจ้าเมืองชางนั้นช่างกล่าววาจามาโดยตลอด แน่นอนว่าเขาได้กล่าวถึงความยากลำบากออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน และพูดกล่าวถึงความผิดของเจ้าเมืองหู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ว่าเจ้าเมืองหู่จะอารมณ์ร้อน แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะพูดจาว่ากล่าวสู้กับเจ้าเมืองชางได้ เขาจึงทำได้เพียงเบิกตากว้างโพลงมองอยู่ด้านข้าง
ความอดทนของรองเจ้าเมืองตงกัวนั้นไม่เลวเลย เขาฟังเจ้าเมืองชางกล่าวจนจบสิ้นอย่างเงียบ ๆ แล้วจึงกล่าวขึ้น “ทุกท่านล้วนแต่มาเมืองซีเจว๋เพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญกัน ความแค้นส่วนตัวนั้นขอให้วางเอาไว้ก่อน อย่างไรเสียในตอนนี้พวกเราก็มีศัตรูคนเดียวกัน”
“จงละทิ้งมันไป ในตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิดเรื่องความแค้นส่วนตัวแล้ว ขอให้ทุกท่านจงเห็นแก่หน้าข้าเป็นเช่นไร?”
ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองหู่จะไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ทำได้เพียงแต่ระงับเพลิงความโกรธแค้นภายในจิตใจเอาไว้
เขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีและเจ้าเมืองชางอย่างดุร้ายพร้อมกล่าว “พวกเจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าได้อยู่ดีแน่”
ถ้าหากว่าในการประลองนั้นเจ้าเมืองหู่ได้พบผู้ใดก็ตามที่เป็นหนึ่งในพวกเขา เจ้าเมืองหู่จะต้องให้พวกเขาได้ตายอย่างอนาถนักเป็นแน่
เจ้าเมืองหู่ได้นำพาคนของตนเดินเข้าเมืองไปอย่างโกรธเกรี้ยว สายตาของรองเจ้าเมืองตงกัวก็จับจ้องมาที่พวกมู่เฉียนซี
เขายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าว “เจ้าเมืองหู่เป็นคนอารมณ์ร้อนมาแต่ไหนไร ถ้าหากว่าพบเรื่องวุ่นวายอะไรในเมืองซีเจว๋สามารถมาหาข้าเพื่อให้ช่วยได้”
เย่เฉินกล่าว “ท่านรองเจ้าเมืองตงกัวมีน้ำใจนัก”
รองเจ้าเมืองตงกัวเป็นผู้ที่มีธุระติดพันเป็นอย่างมากผู้หนึ่ง จึงว่ากล่าวกับพวกเขาแค่เพียงไม่กี่ประโยคก็ได้จากไป
เจ้าเมืองชางกล่าว “ท่านมู่ ท่านกู้ ครั้งนี้รบกวนพวกท่านอย่างมากเสียแล้ว เจ้าเมืองหู่เป็นไอ้บ้าผู้หนึ่ง พวกท่านสบายใจได้ ข้าจะไม่ให้เขารู้ว่าพวกท่านเป็นคนทำ”
เจ้าเมืองชางนั้นเป็นผู้ที่รักษาสัญญา เขาได้เก็บเรื่องข่าวการตายของนายน้อยหู่ไว้อย่างเงียบสนิท
จวนที่พักมิได้หรูหรานักแต่ทว่ามันก็กว้างและสะอาด พวกเขาจึงได้เข้าอยู่เสียที่นี่
ประจวบเหมาะกับเจ้าเมืองชางนั้นมาอยู่จวนข้าง ๆ กัน เมื่อปักหลักเรียบร้อยแล้วจึงได้ไปมาหาสู่กัน
นอกจากการขอบคุณแล้ว เจ้าเมืองชางยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องการจะถาม
“ท่านมู่ ท่านต้องการที่จะให้เมืองเหลยได้รับชัยชนะแล้วคว้าตำแหน่งผู้นำทัพหรือ?”
หากผู้ใดมาได้ยินคำพูดนี้เข้าจะต้องคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วอย่างแน่แท้
เมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่งที่อยู่อันดับท้ายที่สุดคิดที่จะคว้าตำแหน่งแม่ทัพผู้บัญชาการ นี่มันเป็นฝันกลางวันชัด ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างสงบนิ่ง “แน่นอนว่าข้ามาเพื่อสิ่งนี้ มิเช่นนั้นแล้วจะมาเมืองซีเจว๋ทำไมเล่า?”
ใบหน้าของเจ้าเมืองชางเผยแววแห่งความยินดีออกมาให้เห็น
บางทีผู้อื่นอาจจะคิดว่าความคิดเช่นนี้ของเขาเป็นความคิดบ้า ๆ แต่หลังจากที่เขาได้เห็นความแข็งแกร่งของพวกนางไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าขอแค่เพียงนางต้องการที่จะเป็นเช่นนั้นก็จะได้เป็นอย่างแน่นอน
เจ้าเมืองชางกล่าวถามต่อ “ท่านมู่ มิทราบว่ามีอะไรที่จะให้ข้าช่วยหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ถ้าหากว่าท่านไม่มีเรื่องอันใดละก็จงจับตาเฝ้าดูทางเมืองหู่เสี้ยวเอาไว้”
“ได้!”
คืนแรกที่เข้าเมืองมานั้นมันกลับมิได้สงบเท่าไรนัก
ฟึบ ฟึบ ฟึบ!
จิตสังหารอันเย็นยะเยือกได้ลอยมาจากทางด้านนอกห้องของมู่เฉียนซี
การประลองยังมิทันเริ่มขึ้นก็กลับมีผู้ต้องการทำการลอบสังหารกันในเมืองซีเจว๋นี้เสียแล้ว มันช่างมีความกล้ามากกว่าธรรมดาทั่วไปยิ่งนัก