ทันทีที่คำพูดของรองเจ้าเมืองตงกัวจบลง เงากระบี่ก็ได้เปล่งประกายขึ้น เงาจันทราเจ็ดเงาก็พุ่งออกไปทันที
กู้ไป๋อีลงมืออย่างรวดเร็วจนไม่ให้เวลาพวกเขาได้ตอบโต้เลย พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าตนเองนั้นได้กระเด็นลอยไปกลางอากาศแล้ว
การประลองในครั้งนี้สิ้นสุดเร็วกว่าการประลองในสิบเอ็ดครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “เมืองเหยียนเป็นฝ่ายชนะ!”
เมื่อทุกคนได้เห็นร่างชุดขาวที่ดูสูงศักดิ์ผู้นี้แล้ว ต่างก็คิดว่าเขานั้นช่างเป็นชายหนุ่มที่เย็นชาราวกับเทพเซียนก็มิปาน พร้อมกับแอบสบถด่าในใจว่า ‘วิปริตไปแล้ว!’
กู้ไป๋อีเดินลงมาจากลานประลอง จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปที่ลานประลองของมู่เฉียนซี
“สาวน้อย เมื่อวานเจ้ากำเริบเสิบสานมาก เพียงแต่วันนี้ เกรงว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานไม่ได้แล้ว”
มู่เฉียนซีชักกระบี่มังกรเพลิงออกมา นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากข้าจะกำเริบเสิบสานต่อไปพวกเจ้าก็ขัดขวางข้าไม่ได้!”
กระบี่มังกรเพลิงพุ่งตัดผ่านอากาศ มังกรเพลิงสีแดงฉานตัวหนึ่งก็พุ่งไปที่พวกเขาทันที
พลังอำนาจของมังกรเพลิงนี้มิอาจต้านทานได้เลย
กระบี่เล่มนี้คล้ายกับว่าสามารถสังหารผู้บำเพ็ญภูตที่มีพลังต่ำกว่าขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตได้ภายในชั่วพริบตาเดียว
ต่อให้เป็นพลังขั้นมหาจักรพรรดิขึ้นไป พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
“รีบหลบ เร็วเข้า!”
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง!
พวกเขาดูถูกมู่เฉียนซี สุดท้ายก็ถูกมู่เฉียนซีใช้กระบี่เล่มนี้แหกหน้าพวกเขาจนไม่มีชิ้นดี
พวกเขาเริ่มรู้แล้วว่ามู่เฉียนซีนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสร้างค่ายกลรับมือกับนาง
ยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิเหล่านี้รวมพลังได้อย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
เช่นนี้ สาวน้อยผู้นี้จะยังชนะอยู่อีกเหรอ
คนของเมืองเทียนหลานเหล่านี้ได้วางการป้องกันอย่างแน่นหนา และพลังการโจมตีนั้นก็ได้พุ่งไปที่มู่เฉียนซีจากทั่วทุกแปดทิศ
ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง! เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นอย่างรุนแรงทำให้ผู้คนต่างตกใจหวาดกลัวขึ้นมาทันใด
เย่เฉินเห็นสีหน้าของกู้ไป๋อียังคงเย็นชาอยู่ ไร้ซึ่งท่าทางเป็นกังวลแต่อย่างใด เขาจึงมั่นใจว่าเจ้านายของตนเองนั้นต้องไม่เป็นอันใดเป็นแน่
มู่เฉียนซีไม่เป็นอันใดเลยสักนิด ถึงแม้ว่านางจะถูกคนทั้งเจ็ดล้อมโจมตี ทักษะทางร่างกายของนางโคจรขึ้นจนถึงขีดสุด จึงหลบหลีกการโจมตีที่อันตรายนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! ทันทีที่แขนอันเรียวยาวเคลื่อนไหว เข็มยาของมู่เฉียนซีก็พุ่งตัดอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
เข็มยาเหล่านั้นพุ่งมาราวกับสายฝนที่พัดกระหน่ำ ทำให้ค่ายกลของพวกเขาเผยรอยปริแตกออกมา จนกระทั่งมีคนถูกเข็มยาแทงทะลุเข้าผิวหนัง
เมื่อถูกเข็มยานี้เข้า การโดนพิษนั้นก็เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ ชั่วครู่หนึ่งสีหน้าของคนผู้นั้นก็ซีดเผือดลง
“นี่เจ้า…เจ้าวางยาพิษ…เจ้า…”
“ท่านรองเจ้าเมืองตงกัว สาวน้อยผู้นี้วางยาพิษ!”
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ในทุ่งหญ้ารกร้าง ไม่มีผู้ที่มีคุณธรรมเที่ยงตรงอยู่แล้ว การประลองข้างหน้าก็มีคนใช้พิษ ข้าก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าไม่อนุญาต ตนเองไม่ระวังตัวเอง โดนพิษเข้าก็ไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้ ต้องโทษตนเองที่ไม่ระวังเอง”
นี่คือการประลองของทุ่งรกร้าง ขอเพียงแค่ชนะ ไม่ว่าจะใช้กลอุบายใดก็ย่อมได้ทั้งสิ้น และการวางยาพิษก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าฝืนกฏแต่อย่างใด
คำร้องไม่เป็นผล พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ลงมือกับมู่เฉียนซีต่อไป
ขาดคนควบคุมค่ายกลไปหนึ่งคน ตำแหน่งขาดหายไปหนึ่งคน จึงไม่ได้ยากเหมือนเมื่อครู่แล้ว
มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ พลังธาตุวารีรอบ ๆ ได้โคจรหมุนรอบตัวนาง และนางก็โจมตีด้วยทักษะวิญญาณออกไปอย่างรุนแรง
“ทักษะโยวหลัว!”
ตูม! เสียงดังสนั่นขึ้น คนทั้งหกเกือบจะกระเด็นลงไปจากลานประลองด้วยกระบวนท่านี้ของมู่ฉียนซี
เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น! อีกอย่างคู่ต่อสู้ยังเป็นเพียงแค่จักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ สิ่งนี้สำหรับพวกเขาแล้วนับว่าเป็นการดูถูกพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง!
“ฆ่า ต้องฆ่าสาวน้อยผู้นี้ให้ได้!”
“คิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!”
แสงระยิบระยับได้เปล่งประกายออกมาจากมังกรเพลิง เปลวไฟอันแดงฉานแทบจะทำให้ลานประลองดับสลายไป
มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “บัวแดงพิฆาต!”
ตูม!
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอันมหาศาลเช่นนี้ ดอกบัวอัคคีที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่งนั้นก็ได้ทำลายคนทั้งหกของเมืองเทียนหลานลงไปจนหมดสิ้น
รองเจ้าเมืองตงกัวประกาศ “เมืองเหลย เป็นฝ่ายชนะ!”
ไม่นานนัก ผลการประลองทางด้านของเมืองซีเจว๋ก็ออกมา ฝ่ายชนะแน่นอนว่าเป็นเมืองซีเจว๋
เจ้าเมืองของเมืองซีเจว๋มีความแข็งแกร่งขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับหก การสังหารทุกคนจากรอบด้านนั้นก็ใช้เวลาไปไม่น้อย ช้ากว่ากู้ไป๋อีกับมู่เฉียนซีไปก้าวหนึ่ง
“เมืองหู่เสี้ยว เป็นฝ่ายชนะ!”
“……”
“……”
การประลองแต่ละสนามได้สิ้นสุดลง ทั้งหมดสิบเอ็ดเมืองได้เข้าสู่ในรอบต่อไป
เนื่องจากเวลามีจำกัด หลังจากที่ประลองเสร็จในรอบนี้ ก็ได้ดำเนินการประลองในรอบต่อไปทันที
เมืองเหยียนได้เข้ารอบต่อไป เมืองเหลยกลับต้องเจอกับเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองที่แข็งแกร่งในอันดับที่สามอย่างเมืองปาหวัง พลังความแข็งแกร่งของเจ้าเมืองของพวกเขานั้นถึงขั้นมหาจักรพรรดิระดับห้าแล้ว
กู้ไป๋อีกล่าว “สนามนี้ คุณหนูใหญ่พักผ่อนเถอะ ข้าลงประลองเอง!”
มู่เฉียนซีสามารถต่อสู้ข้ามขั้นใหญ่ ๆ ได้หนึ่งขั้น รับมือกับมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้านั้นจะฝืนไปหน่อย
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อเสี่ยวไป๋ยอมจัดการให้ เช่นนั้นข้าไปพักก่อนล่ะ”
เมื่อกู้ไป๋อียืนบนลานประลองในตำแหน่งของเมืองเหลย คนของเมืองปาหวังก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “เขา เขาเป็นตัวแทนของเมืองเหยียนไม่ใช่เหรอ เหตุใดถึงมาเป็นตัวแทนเมืองเหลยได้ล่ะ”
เย่เฉินกล่าว “เมืองเหลยกับเมืองเหยียนเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หากท่านเจ้าเมืองปาหวังหายอดฝีมือขึ้นประลองแทนก็ย่อมได้ คาดว่าไม่ได้ฝ่าฝืนกฏแต่อย่างใด”
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ที่ท่านเจ้าเมืองเย่กล่าวมานั้นไม่ผิด ขอเพียงแค่มีคนยินยอมขึ้นประลองแทนท่าน ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะประลองในสนามใดมา ก็ประลองแทนได้ทั้งสิ้น ขอเพียงแค่ไม่ติดประลองสองสนามในเวลาเดียวกันก็พอ”
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้น การประลองในทุ่งหญ้ารกร้างนี้ ช่างไร้กฎเกณฑ์ใดใดจริง ๆ ไม่เป็นระเบียบสักนิด แต่เช่นนี้ก็ดี
เจ้าเมืองปาหวังกล่าวอย่างดุร้ายว่า “เจ้าอยากประลองก็ประลอง ก็แค่จักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเก้าคนเดียว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้”
ทว่า ความจริงแล้วเขานั้นจัดการไม่ได้
กระบี่เฉียนหานอันเย็นยะเยือกนั้นดุร้ายและรุนแรงมาก
ถึงแม้ว่ากู้ไป๋อีจะเป็นเพียงแค่จักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับเก้า แต่กลับดูเหมือนว่าเขาเหนือกว่ามาก
ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี พวกเขาถูกกระบี่ของกู้ไป๋อีโจมตีจนกระเด็นออกไปจากลานประลอง
“เมืองเหลย เป็นฝ่ายชนะ!”
หลังจากที่กู้ไป๋อีกลับมา มู่เฉียนซีก็กล่าวถามว่า “เสี่ยวไป๋ ตอนนี้เจ้าสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งได้ในระดับใด?”
“การต่อสู้ข้ามระดับไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับคุณหนูใหญ่ สามารถรับมือได้กับคนที่ต่ำกว่ายอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิเท่านั้น”
“อืม! พลังความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ไม่นานนักเมืองหกเมืองที่ได้รับชัยชนะก็ได้ยืนยันแน่นอนแล้ว นอกจากเมืองเหลยกับเมืองเหยียนที่ได้รับชัยชนะมาอย่างน่าประหลาดใจแล้ว เมืองหู่เสี้ยวก็ประลองชนะเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองด้วยเช่นกัน
เจ้าเมืองของเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองเหล่านั้นล้วนแต่ตกตะลึง “นึกไม่ถึงว่าเมืองหู่เสี้ยวจะแข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว”
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฝีมือของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นได้ภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้!”
“……”
รองเจ้าเมืองตงกัวประกาศ “ประลองเกมต่อไป!”
เมืองเหลยจับฉลากได้เมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองเมืองหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามมีผู้แข็งแกร่งที่สุดคือขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่
ส่วนคู่ต่อสู่ของเมืองเหยียนเป็นจักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าผู้หนึ่ง
มู่เฉียนซีเดินขึ้นไปบนลานประลอง การประลองที่ผ่านมานั้นทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าประเมินฝีมือนางต่ำอีก
หลังจากที่รองเจ้าเมืองตงกัวประกาศให้เริ่มการประลอง พวกเขาก็พยายามโจมตีมู่เฉียนซีอย่างสุดกำลังความสามารถ
ตูม ปัง ปัง!
พลังการโจมตีนี้แข็งแกร่งมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็โจมตีไม่โดนมู่เฉียนซีเลย ทักษะร่างกายของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วอย่างน่าประหลาด
นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “การโจมตีของพวกเจ้าก็เร็วดีนะ แต่ก็ทำอันใดข้าไม่ได้”
“ทักษะโยวหลัว!”
“บัวแดงพิฆาต!”
ทักษะวิญญาณทั้งสองนี้ล้วนแต่มีพลังอานุภาพที่ทรงพลังอย่างไร้ขอบเขต ผู้ที่มีพลังวิญญาณต่ำกว่าระดับขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตนั้นไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้เลย
ปัง ปัง ปัง!
ร่างหลายร่างได้กระเด็นออกไปจากลานประลอง! ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง กู้ไป๋อีก็จัดการกับคู่ต่อสู้ได้อย่างเฉียบขาดและรวดเร็ว มุมปากของทุกคนกระตุกขึ้น ไม่มีผู้ใดหยุดสองคนนี้ได้แล้วจริง ๆ หรือ!