เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “ได้สู้ต่อเนื่องมาทั้งหมดสามรอบแล้ว หากจะสู้ต่อไปอีกเกรงว่าอาจจะไม่สามารถทนได้ไหว”
“ทนไม่ไหว หึ! ข้าว่าพวกเจ้ากลัวแล้วเสียมากกว่ากระมัง!” เจ้าเมืองหู่เสี้ยวกล่าว
มู่เฉียนซีจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเมืองซีเจว๋ ไม่มีอะไรที่ทนรับไม่ได้หรอก ข้าเองก็อยากที่จะสั่งสอนเจ้าหมอนี่ให้ดีเสียหน่อย”
“สั่งสอนข้า ข้าดูแล้วเจ้ามารนหาที่ตายนั่นคงจะใกล้เคียงกว่า” เจ้าเมืองหู่ยิ้มอย่างโหดร้าย
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ในเมื่อทั้งสองฝั่งไม่มีข้อขัดแย้งใด เช่นนั้นก็ประลองต่อเถิด! ทางเมืองเหยียนคิดเห็นเช่นไร?”
ถึงแม้จะรู้ว่าเมืองเหลยและเมืองเหยียนนั้นสวมกางเกงตัวเดียวกัน แต่ทว่ารองเจ้าเมืองตงกัวก็ยังคงถามอย่างเป็นเชิงสัญลักษณ์ไปหนึ่งครา
เจ้าเมืองเหยียนกล่าว “เอาตามที่พวกเขาว่าทั้งหมด”
“รีบตัดสินผู้ที่จะมาเป็นผู้บัญชาการก็ดี เช่นนี้จะได้สามารถปรึกษากันได้ว่าจะรับมือไอ้สำนักมารคลั่งนั้นอย่างไร จากนี้ไปจะเริ่มทำการจับสลาก”
ในรอบแรก เมืองเหยียนสู้กับเมืองหู่เสี้ยว
รอบที่สอง เมืองเหลยสู้กับเมืองเหยียน
รอบที่สาม เมืองเหลยสู้กับเมืองหู่เสี้ยว
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “ในตอนนี้เริ่มการประลองในรอบแรกได้ ขอเชิญตัวแทนจากเมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยวขึ้นไปบนเวทีประลอง”
เจ้าเมืองหู่พุ่งขึ้นไปบนเวทีประลองอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยท่าทางที่ดูดุดันน่าหวั่นพรึง
แต่เจ้าเมืองเหยียนได้กล่าวออกมา “พวกเราเมืองเหยียนขอยอมแพ้”
เดิมทีเจ้าเมืองหู่นั้นคิดที่จะฉีกพวกเขาเป็นหมื่น ๆ ชิ้น แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที มันเหมือนกับลูกหนังที่พลันเกิดรูรั่วให้อากาศออกไปก็มิปาน
เจ้าเมืองหู่กล่าวด้วยความโมโห “พวกเจ้านี่ช่างขลาดกลัวเสียจริง”
เจ้าเมืองเหยียนเองก็มิได้โกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด รองเจ้าเมืองตงกัวจึงกล่าว “ในรอบนี้ เมืองหู่เสี้ยวได้รับชัยชนะ”
ต่อไปได้มาถึงรอบที่เมืองเหยียนกับเมืองเหลยจะต้องสู้กันแล้ว เย่เฉินได้ส่งตัวลูกสมุนขึ้นไปบนเวทีประลองแบบสุ่ม ๆ ผู้หนึ่ง เจ้าเมืองเหยียนก็กล่าวขึ้นอีกว่า “พวกเราเมืองเหยียนขอยอมแพ้!”
ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮาออกมา ยอมแพ้อีกแล้ว! ในตอนนี้เมืองเหยียนได้ตกรอบไปแล้ว
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “เมืองเหลยได้รับชัย!”
“ในตอนนี้เมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยวต่างได้รับชัยชนะกันไปเมืองละหนึ่งรอบ”
ทั้งสองฝ่ายได้รับชัยชนะมาหนึ่งรอบโดยที่ไม่ต้องสู้
รองเจ้าเมืองตงกัวกล่าว “จากนี้จะเป็นการต่อสู้ของเมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยว”
เมืองหู่เสี้ยวมีท่าทีที่ดุดันอีกทั้งยังมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าเมืองเหลยคงได้พ่ายแพ้เป็นแน่แล้ว
เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ทางเราได้เลือกตัวคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
เมืองหู่เสี้ยวมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมากจึงทำให้ผู้คนหวาดกลัวกันยิ่งนัก แต่ทว่าพวกนางนั้นกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย หากจะแข่งกันเรื่องจำนวนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ใครกลัวใครกันเล่า?
มู่เฉียนซีกล่าว “เยี่ยมมาก ขึ้นไปบนเวทีประลองกับข้าเถอะ!”
ในครั้งนี้ มู่เฉียนซีมิได้ขึ้นไปบนเวทีประลองเพียงตัวคนเดียว หากแต่ยังพากู้ไป๋อีและลูกสมุนในเมืองเหลยขึ้นไปด้วย
เจ้าเมืองหู่กล่าว “ข้านึกว่าเจ้าจะโอหังขึ้นมาตัวคนเดียวเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะพาคนอื่นมาด้วย ข้าว่าเจ้าคงกลัวแล้วกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าว “หากประมือกับมนุษย์แน่นอนว่าข้าจะขึ้นมาเพียงคนเดียว แต่ทว่านี่ประมือกับเดรัจฉาน แน่นอนว่าจะต้องพาคนมาด้วยเยอะเสียหน่อย ถ้าหากว่าถูกเดรัจฉานกัดได้รับบาดเจ็บเข้า ข้ายังจะต้องไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าอีก”
วัคซีนพิษสุนัขบ้าคืออะไรนั้นเขาไม่รู้ แต่ทว่าเดรัจฉานนั้นเจ้าเมืองหู่เสี้ยวรู้จักเป็นอย่างดี “เจ้า! เจ้ากล้าด่าข้าว่าเป็นเดรัจฉาน!”
มู่เฉียนซีโบกมือแล้วกล่าว “เจ้าก็อยู่ในที่ที่เจ้าควรอยู่สิ ข้าเองก็จนปัญญา ที่จริงแล้วที่ข้าพูดไปหมายถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นของเจ้าต่างหาก”
เจ้าเมืองหู่เดือดพล่าน ที่นางกล่าวมาหมายความว่าเช่นนี้อย่างแน่นอน
เจ้าเมืองหู่มองไปทางกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “คนผู้นี้มิใช่คนของเมืองเหยียนหรือ? ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนของเมืองเหลยไปเสียแล้ว”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ข้าเพิ่งให้เขามาเป็นลูกสมุนของข้าเมื่อครู่นี้ เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่? หรือว่าอิจฉาในเสน่ห์ของข้าที่สามารถยึดเอาผู้อื่นมาเป็นลูกสมุนได้อย่างรวดเร็ว?”
เจ้าเมืองซีเจว๋กล่าว “นี่มินับว่าผิดกฎ!”
ในทุ่งรกร้าง ผู้ที่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ยังพึ่งพิงนายเก่าแต่ต่อมาไม่นานก็เข้าถวายตัวกับนายใหม่นั้นมิใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น
เจ้าเมืองหู่กล่าว “นึกว่ามีเขาเพิ่มขึ้นมาแล้วข้าจะกลัวเจ้าหรือ? ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าเจ้าน่ะ ฝันไปเถอะ!”
ทั้งสองฝ่ายได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลอง รองเจ้าเมืองตงกัวประกาศขึ้น “เริ่มการประลองระหว่างเมืองเหลยและเมืองหู่เสี้ยวได้”
เมื่อรองเจ้าเมืองตงกัวได้ประกาศให้การประลองเริ่มขึ้น ทางเมืองหู่เสี้ยวก็ได้อัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดออกมา
เขาคิดที่จะฉีกคนตรงหน้าเหล่านี้ให้กลายเป็นชิ้นภายในสามจังหวะลมหายใจ
ยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิทั้งหมดเจ็ดคนและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งหมดเจ็ดตัว ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีจะแสดงออกได้ยอดเยี่ยมไปมากกว่านี้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าทางเมืองเหลยจะเป็นผู้ชนะไปได้
มู่เฉียนซีกล่าว “หรือเจ้าคิดว่ามีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่มีสัตว์พันธสัญญา?”
“อัญเชิญสัตว์พันธสัญญาออกมา!”
ทุกคนต่างมองไปยังคนอีกห้าคนของเมืองเหลยที่ล้วนแต่ได้อัญเชิญสัตว์พันธสัญญาออกมาอย่างปากอ้าตาค้าง ถึงแม้ว่าจะไม่มีถึงระดับที่สี่ แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สามเชียว!
พวกเขาล้วนแต่จนปัญญา มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเดินเพ่นพ่านตั้งแต่เมื่อไรกัน
ใบหน้าของเจ้าเมืองหู่แข็งทื่อ “เป็นไป…เป็นไปได้ยังไง? เมืองเหลยเล็ก ๆ ของพวกเจ้าทำไมถึงได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนี้?”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าเมืองหู่เสี้ยวที่เป็นเพียงเมืองขั้นสำนักนิกายระดับหนึ่ง ทำไมถึงได้มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มากมายเช่นนั้นเล่า?”
สีหน้าของเจ้าเมืองหู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
“เสี่ยวหง อู๋ตี้ ออกมา!”
มู่เฉียนซีเองก็ได้อัญเชิญสัตว์พันธสัญญาของนางออกมา พลังในการต่อสู้ของฝ่ายต้องข้ามนั้นมิอ่อนแอเลย ในครั้งนี้จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว อีกทั้งยังมีสองตัวเสียด้วย!”
“ตัวหนึ่งระดับสี่ และยังมีระดับสามด้วย!”
“นี่มันฝืนลิขิตฟ้าเกินไปแล้วกระมัง!”
สีหน้าของเจ้าเมืองหู่มีความกังวลเล็กน้อย “สองตัว! อย่าได้คิดว่าพวกเจ้ามีสัตว์พันธสัญญาแล้วจะสามารถชนะได้ วันนี้พวกเจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ตูม!
เสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งเกิดขึ้น เจ้าเมืองหู่ได้เริ่มขยับตัวออกการโจมตีต่อฝ่ายตรงข้ามแล้ว
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!
กู้ไป๋อีเข้าไปประมือกับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งก็คือเจ้าเมืองหู่ ส่วนอู๋ตี้และเสี่ยวหงได้พุ่งเข้าไปที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าของเขา
ส่วนคนอื่น ๆ นั้นต่างก็หาคู่ต่อสู้ของตนเอง ถึงแม้ว่าพลังความสามารถของพวกเขาเมื่อเทียบกับคนของเมืองหู่เสี้ยวแล้วจะอ่อนแอกว่าเล็กน้อยก็ตาม แต่ทว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามระดับสี่นั้นมิใช่กินหญ้าไร้เรี่ยวแรง
ตูม!
มู่เฉียนซีเผชิญหน้ากับมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ผู้หนึ่ง อู๋ตี้ได้พุ่งเข้าไปยังสัตว์พันธสัญญาของเขา และคนผู้นี้ก็ได้พุ่งมาทางมู่เฉียนซี
เขากล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น “สาวน้อย ไปตายเสียเถอะ!”
ในตอนที่นางออกกระบวนท่านั้น มู่เฉียนซีรู้สึกได้ถึงอันตรายอันเย็นเฉียบชนิดหนึ่ง
ไม่ถูกต้อง พลังความสามารถของเขามิใช่เพียงแค่มหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่สี่
มู่เฉียนซีจึงได้โคจรเคล็ดวิชาย่างก้าวพันเงาขึ้นมาแล้วหลบหลีกไปอย่างรีบร้อน
และบริเวณที่นางยืนอยู่เมื่อครู่นั้นก็ได้ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาในทันที
เจ้าเมืองซีเจว๋มองคนผู้ที่มีรูปลักษณ์ธรรมดาผู้นั้นแล้วกล่าวด้วยเสียงขรึม “พลังความสามารถของคนผู้นั้นกลับไปถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่หก เหตุใดเมืองหู่เสี้ยวถึงมียอดฝีมือเช่นนี้ได้”
ถ้าหากว่าพวกเขามียอดฝีมือเช่นนี้ก็ควรที่จะเป็นเมืองขั้นสำนักนิกายระดับสองไปนานแล้ว จะยังเป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งอยู่ได้อย่างไร?
“หึหึหึ! สาวน้อยมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วจึงทำให้หลบได้ทัน แต่กระบวนท่าต่อไปข้าจะไม่ให้เจ้าหลบได้อย่างง่ายดายแน่นอน”
“คุณหนูใหญ่!” กู้ไป๋อีเองก็รู้สึกได้ถึงความเก่งกาจของฝ่ายตรงข้ามจึงเป็นกังวลอยู่บ้าง
เจ้าเมืองหู่กล่าวขึ้น “ไอ้หนู ตอนนี้เจ้ายังจะมีกะจิตกะใจไปห่วงคนอื่นอีก ช่างรนหาที่ตายเสียจริง!”
“เจ้าขัดขวางโอกาสดี ๆ ของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าจะต้องสับเจ้าให้แหลกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!” เจ้าเมืองหู่ได้ระเบิดพลังไปทางกู้ไป๋อี
ปราณกระบี่อันเยือกเย็นของกู้ไป๋อีก็ได้ระเบิดออกมาเช่นกัน และมันทำให้อากาศทั่วทั้งสนามประลองเย็นเยียบอย่างฉับพลัน
“เจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งนัก!”
“เจ้าเด็กนี่อายุยังน้อย แต่กลับบรรลุเจตจำนงกระบี่อันสูงส่งเช่นนี้ ช่างน่ากลัวนัก”
“นั่นมันมิใช่มนุษย์เลยแม้แต่น้อย!”