เซียวโม่เอาอาวุธวิญญาณออกมาจากมิติจำนวนมาก และกล่าวถามว่า “สิ่งของเหล่านี้ได้หรือไม่ ทุกชิ้นล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงทั้งสิ้น”
กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเราไม่ขาดแคลนอาวุธวิญญาณ!”
“นอกจากอาวุธวิญญาณ ก็มีแค่สิ่งของเหล่านี้แล้ว…” เซียวโม่เอาของบางอย่างออกมาอีก
สิ่งที่เซียวโม่เอาออกมาก็คือศิลาแร่ (หินแร่) มู่เฉียนซีไม่ได้สนใจศิลาแร่เหมือนดั่งที่สนใจสมุนไพรวิญญาณแน่นอน เพียงแต่ว่าเจ้าหมอนี่กลับเอาของดีออกมาไม่น้อยเลย
มู่เฉียนซีหยิบศิลาก้อนเล็กสีขาวพระจันทร์ก้อนหนึ่งขึ้นมาและกล่าวว่า “ศิลาดาวฤกษ์นี้ เป็นเช่นไร?”
เซียวโม่กล่าวด้วยความตกตะลึงว่า “สายตาของเจ้ามันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว เลือกศิลาดาวฤกษ์ที่ล้ำค่าที่สุดซะด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าว “ทำไมล่ะ หรือว่าเจ้าคิดเสียดาย หากเจ้าเสียดายก็ไม่เป็นไร”
เซียวโม่กล่าว “ไม่เสียดาย ๆ! ก็แค่ศิลาดาวฤกษ์ไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรต้องเสียดายหรอก ข้าให้เจ้า ให้เจ้า!”
เขายัดศิลาดาวฤกษ์ใส่ในมือมู่เฉียนซี จากนั้นก็มองมู่เฉียนซีพลางทำหน้าตาน่าสงสารและกล่าวว่า “กินได้หรือยังล่ะ?”
“ยังไม่สุก รอก่อน!”
เซียวโม่รู้สึกว่าการรอคอยในครึ่งชั่วยามนี้เหมือนเป็นการรอคอยนับพันปีหมื่นปีก็มิปาน และเขาก็ใจจดใจจ่อกับการรอคอยนั้น!
และในขณะที่สามารถกินอาหารเลิศรสนี้ได้แล้ว เซียวโม่ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “อร่อย! อร่อยจริง ๆ เลย ตั้งแต่ข้าเกิดมายังไม่เคยกินเนื้อย่างไหนที่รสชาติอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย”
เมื่อเทียบกับความเปิดเผยของเซียวโม่แล้ว ท่าทางของกู้ไป๋อีกับมู่เฉียนซีนั้นดูงดงามมีสง่าไม่น้อย
หลังจากที่กินจนอิ่มหนำสำราญ เซียวโม่ก็กล่าวขึ้นว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าเพียงแค่แวบตาเดียวเจ้าก็ดูออกว่าศิลาก้อนนั้นเป็นศิลาดาวฤกษ์ หรือว่าเจ้าก็เป็นนักหลอมอาวุธเหมือนกัน?”
“นักหลอมอาวุธเหรอ ก็นับว่าใช่กระมัง!” มู่เฉียนซีตอบ
เซียวโม่กล่าว “หม้อเทพไท่อี หนึ่งในวัตถุเลียนแบบของมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ เจ้าก็คงจะรู้เรื่องนี้กระมัง! ในฐานะที่เป็นนักหลอมอาวุธผู้หนึ่ง ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ในตำนานนั้นมันมีหน้าตาเป็นเช่นไร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพนิรันดร์ แต่แค่ได้เห็นวัตถุเลียนแบบของหม้อเทพนิรันดร์ ข้าก็พอใจมากแล้ว”
ในแววตาของเขามีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง!
“เจ้ามีเป้าหมายเหมือนกันกับข้าหรือไม่ หากว่าใช่ ก็นับว่าเป็นพรหมลิขิตแล้วล่ะ”
มู่เฉียนซียังไม่ได้เปล่งเสียงตอบแต่อย่างใด กู้ไป๋อีก็กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ไม่ใช่!”
เซียวโม่รู้สึกหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว คนผู้นี้ราวกับเป็นภูเขาหิมะเคลื่อนที่ก็มิปาน
รูปร่างหน้าตาก็ดีราวกับเทพ แต่กลับเย็นชาไม่ชอบยิ้มแย้มเอาซะเลย
เซียวโม่กล่าว “ไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร การได้พบเจอกันก็นับว่าเป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่งแล้ว คืนนี้ข้าช่วยเฝ้ายามให้พวกเจ้าเอง เป็นเช่นไร ถึงอย่างไรเสียเทือกเขาหนานอวิ๋นแห่งนี้ก็อันตรายมากนะ”
กู้ไป๋อีกล่าว “ไม่จำเป็น!”
ทันใดนั้นเอง เสียงคนเดินย่ำเท้าก็ดังขึ้น เซียวโม่ในตอนนี้ไม่ยิ้มแล้ว เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงขรึมว่า “ใคร!”
ตุบ!
เสียงอู้อี้เสียงหนึ่งดังขึ้น และพวกเขาก็ได้เห็นร่างร่างหนึ่งล้มฟุบลงไปกับพื้น
ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เซียวโม่กล่าวว่า “คนผู้นี้ ถูกทำร้ายจนน่าสังเวชเกินไปแล้ว!”
มู่เฉียนซีเดินไปข้างกายเย่เฉินและกล่าวว่า “ยังรอดกลับมาได้ นับว่าไม่เลว!”
นางรีบฉีดยาระงับความเจ็บปวดให้เขาหลายเข็ม จากนั้นก็กล่าวว่า “น่าจะมีแรงแล้ว เจ้ากินยาเองก็แล้วกัน!”
เย่เฉินลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก ใบหน้าที่นับว่ารูปงามนั้นในตอนนี้กลับฟกช้ำดำเขียวไปทั่วทั้งหน้า
เซียวโม่กล่าว “แม่นางมู่ นี่สหายของเจ้าเหรอ! ตกลงเป็นใครกันที่ทำร้ายเขาจนมีสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้ จะให้ข้าไปแก้แค้นให้เขาดีหรือไม่?”
เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเจอกันครั้งแรกในคืนนี้ แต่เจ้าหมอนี่กลับทำตัวคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องการแก้แค้น เขาก็แค่อยากถูกซ้อมก็เท่านั้น!”
เซียวโม่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกงุนงง “อยากถูกซ้อม? หรือว่าเจ้านี่จะล่วงเกินเจ้าแล้ว”
ไม่ว่ากู้ไป๋อีจะไม่ชอบเซียวโม่เช่นไร แต่เซียวโม่ก็ยังหน้าด้านหน้าทนจะอยู่เฝ้ายามให้พวกเขา และไม่ยอมไปไหนอยู่ดี
เช้าวันต่อมา เซียวโม่ได้เห็นร่างชายชุดขาวหน้าตารูปงามผู้หนึ่งเดินออกมาจากกระโจม
ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจและกล่าวว่า “เจ้า นี่เจ้าเป็นใคร?”
“เมื่อคืนก็เจอกันแล้ว เจ้ายังไม่รู้จักอีกเหรอ?” เย่เฉินยิ้มพลางกล่าว
“เจ้าคือคนผู้นั้นเหรอ คุณพระช่วย! คนเดียวกันหรือนี่? ยานั่นวิเศษเกินไปแล้ว ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น แต่กลับไม่มีแผลเป็นหลงเหลืออยู่เลยสักนิด”
“ยานั้นของเจ้าซื้อมาจากที่ใดกันแน่ ข้าก็อยากจะซื้อเอาไว้สักหน่อย เวลาที่ข้าโดนท่านพ่อตี ข้าจะได้ไม่ต้องหลบหน้าหลบตาผู้คนเป็นเดือน ๆ อีก!”
เซียวโม่กล่าวด้วยท่าทางหวาดกลัว เย่เฉินกล่าว “ประเดี๋ยวนายท่านตื่น เจ้าก็บอกนางก็แล้วกัน ข้าจะออกไปฝึกฝนแล้ว”
วันต่อมามู่เฉียนซีไปฝึกฝนต่อ แต่เซียวโม่กลับเป็นเหมือนหางติดก้นก็มิปาน ตามนางไม่ยอมเลิกรา!
“จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้าเก่งกาจถึงเพียงนี้เลยเหรอ ช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว!” เซียวโม่กล่าวด้วยความตกใจ
ในตอนนี้เอง กระบี่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเย็นยะเยือกก็ได้ทาบลงบนคอของเซียวโม่
“ไสหัวไปซะ!”
เซียวโม่รู้สึกมาตลอดว่าความหล่อเหลาของเขานั้นมักจะทำให้ผู้คนหลงรัก นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันนี้ด้วย วันที่มีคนเกลียดชังเขาเช่นนี้
เซียวโม่แสยะมุมปากและกล่าวว่า “ความหึงหวงของบุรุษนี่น่ากลัวเสียจริงเลย แม่นางมู่ เจ้ารีบมาสนใจเขาหน่อยสิ!”
มู่เฉียนซีที่เดิมทีกำลังรับมืออยู่กับสัตว์วิญญาณ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเซียวโม่เข้า กระบี่ในมือก็แทบจะร่วงลงพื้นดิน
คนเย็นชาอย่างเสี่ยวไป๋เนี่ยนะจะมีความรู้สึกหึงหวง คุณชายเซียวกำลังกล่าวเรื่องน่าขันแล้ว!
มู่เฉียนซีรู้ว่าการเคลื่อนไหวนี้ของพวกเขานั้นอันตราย แต่นางไม่อยากให้คนที่ไม่คุ้นเคยคนหนึ่งขวางทาง
มู่เฉียนซีกล่าวกับเซียวโม่ว่า “ข้าว่าเจ้าอย่าตามพวกข้าอีกเลยนะ”
“ข้าถูกทอดทิ้งอีกแล้วเหรอ ข้าก็แค่มากิน อีกอย่างข้าไม่ได้กินฟรีสักหน่อย”
“แต่ข้าไม่ต้องการ”
“ก่อนที่ค่ายกลนั้นจะพังทลาย ข้าอยากจะกินของอร่อย ๆ กับเจ้า หากเจ้าไม่ต้องการศิลาแร่กับหยกวิญญาณแล้วล่ะก็ ข้าเป็นลูกมือรับมือกับศัตรูให้เจ้าได้นะ ไม่ว่าเจ้าจะชี้ไปทางไหนข้าก็จะลงมือทางนั้น ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนเจ้าแน่นอน!”
เซียวโม่พัวพันอยู่กับพวกเขาอย่างหมดหนทาง ส่วนกู้ไป๋อีนั้นกำลังแผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งความเย็นยะเยือกออกมา
กลิ่นอายแห่งความเย็นยะเยือกนั้นเขาตกใจจนชินแล้ว ถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่ยอมจากไปอยู่ดี
“เจ้าพูดเองนะ ไม่ว่าข้าจะชี้ไปทางใด เจ้าจะลงมือโจมตีทางนั้น” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“บุรุษอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้น” เซียวโม่ตบหน้าอกยิ้มพลางกล่าว
กู้ไป๋อีกล่าวเสียงขรึมว่า “รับมือกับผู้อื่น มีแค่ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว คุณหนูใหญ่”
มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “เพิ่มมาอีกคนนึงก็ไม่เสียหายอะไร!”
เมื่อตะวันตกดิน เย่เฉินก็กลับมาด้วยสภาพหน้าตาฟกช้ำดำเขียวอีกครั้ง เซียวโม่รู้สึกได้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อยเลย
นี่มันบ้าอะไรกันแน่ ออกไปให้ตัวเองถูกซ้อมทุกวัน ๆ ช่างประหลาดยิ่งนัก
หลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บให้เขาเสร็จ มู่เฉียนซีก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “เย่เฉิน ข้าคิดหาวิธีอื่นออกแล้ว ไม่ต้องให้เจ้าออกไปท้าทายศัตรูแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ วันพรุ่งค่อยว่ากัน”
“อืม!” เย่เฉินพยักหน้าพลางกล่าว
เช้าวันต่อมา รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าเย่เฉินก็หายไปแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เย่เฉิน เจ้าน่าจะรู้ดีกระมังว่าเส้นทางเข้าไปในตระกูลเย่เส้นทางใดที่มีคนใช้มากที่สุดหรือเส้นทางใดที่จำเป็นต้องผ่าน”
เย่เฉินพยักหน้า “มีอยู่เส้นทางหนึ่งที่จำเป็นต้องผ่าน คิดจะเข้าไปในหุบเขาตระกูลเย่ จะต้องเดินผ่านเส้นทางนั้น”
“ดี พวกเราไปที่นั่นกันก่อน”
ครั้นแล้วพวกเขาก็มาถึงเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเส้นทางนี้อย่างรวดเร็ว เส้นทางนี้ไม่ได้เป็นเส้นทางที่กว้างเลย
เมื่อมู่เฉียนซีหยุดก้าวเท้าลง เซียวโม่ก็ถามขึ้นว่า “ต่อไปจะทำเช่นไรกันต่อ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ก็เฝ้าทางเข้าเส้นทางนี้เอาไว้นะสิ ยังจะทำอันใดล่ะ นี่พวกเจ้ายังคิดไม่ออกเหรอ?