วันต่อมา
หลังจากเสร็จงานของตัวเองทั้งหมด อวี้ฮ่าวหรานออกจากบริษัทของเขาและขับรถตรงไปที่บริษัทของเฉิงกัวอันทันที ซึ่งกว่าจะถึงก็เป็นเวลาประมาณ 17.30 น.
วันนี้คือวันที่เขานัดกับเฉิงชิวอวี้เอาไว้ว่าจะไปงานเลี้ยงกับเธอ
“ฉันรอนายตั้งนาน นึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว”
เฉิงชิวอวี้บ่นงึมงำทันทีเมื่อขึ้นรถของเขา
วันนี้เธอแต่งตัวสวยเป็นพิเศษ ผมตรงยาวสีดำขลับของเธอถูกรวบเอาไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นไหล่อันขาวเนียนเข้ากับชุดเดรสสีฟ้าอ่อน ซึ่งเมื่อรวมกับใบหน้าที่งดงามของเธอ ทุกอย่างจึงกลายเป็นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้รู้สึกรำคาญที่เธอบ่นแม้แต่น้อย เขายิ้มบางให้ แต่เมื่อเห็นว่าเธอขึ้นรถมาแค่คนเดียวเขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หืม? พ่อคุณไม่ไปด้วยงั้นเหรอ?”
ในเมื่องานเลี้ยงนี้เป็นแหล่งรวมของชนชั้นสูงในเมืองฮ่วยอัน เฉิงกัวอันก็ควรไปร่วมงานด้วยจริงไหม?
“อันที่จริงตอนแรกพ่อของฉันเองก็ตั้งใจว่าจะไปเหมือนกัน แต่พอเขารู้ว่านายจะไปกับฉัน เขาก็เลยเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วเพราะเขาคิดว่าถ้าเขาไปด้วยคนอื่น ๆ จะสนใจแต่เขาไม่สนใจนาย เขาอยากให้นายใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักผู้คนให้มากที่สุด” เฉิงชิวอวี้ตอบกลับด้วยสีหน้าหยอกล้อ “อ้อ จริงสิ พ่อของฉันฝากมาบอกมาอีกว่า ถึงแม้ว่างานเลี้ยงแบบนี้มันอาจจะน่าเบื่อสำหรับนาย แต่เขาก็อยากจะให้นายพยายามเข้าหาคนอื่น ๆ ในงานสักหน่อย เพราะคนที่ไปร่วมงานทุกคนล้วนกระเป๋าหนัก หากนายคุยดี ๆ คนพวกนี้อาจเป็นลูกค้าชั้นดีของนายได้ในอนาคต!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขารู้สึกชื่นชมเฉิงกัวอันในใจที่พยายามคิดเผื่อเขามากถึงขนาดนี้
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานไม่ถามอะไรต่อเขาขับรถตรงไปที่โรงแรม Golden Edge ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงทันที
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
“ถึงแล้ว!”
ในลานจอดรถของโรงแรมตอนนี้เต็มไปด้วยรถหรูมากมายนับไม่ถ้วน รถคันไหนที่มีราคาต่ำกว่าล้านล้วนกลายเป็นรถธรรมดาไปเลยหากเอามาจอดในลานจอดรถตอนนี้
ขณะนี้ดูเหมือนว่างานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว ดังนั้นจึงมีคนมากมายอยู่ในลานจอดรถ
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและเฉิงชิวอวี้ลงจากรถ ความงามของ เฉิงชิวอวี้พลันดึงดูดสายตาเหล่าผู้คนทันที
“ดูสิ… นั่นใครน่ะ ทำไมสวยขนาดนั้น?”
“นี่นายไม่รู้จักเธองั้นเหรอ? เธอคือลูกสาวของประธานบริษัทเวชภัณฑ์ชิวเฮิงยังไงล่ะ! ฉันได้ยินมาว่าเธอทั้งสวยทั้งเก่ง ตั้งแต่ที่เธอช่วยพ่อของเธอดูแลบริษัท เธอยังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยสักครั้ง!”
“อ้อ ที่แท้ก็เฉิงชิวอวี้นี่เอง! มิน่าล่ะถึงได้สวยเด่นขนาดนั้น ทั้งสวยทั้งรวยทั้งเก่งแบบนี้หากใครได้แต่งงานด้วยคงโชคดีมาก ๆ!”
การที่เฉิงชิวอวี้ผู้โด่งดังปรากฏตัวขึ้นทำให้ผู้คนต่างพูดประเด็นเกี่ยวกับเธอกันระงม
ถึงแม้ว่าเสียงที่ผู้คนจะใช้พูดคุยกันมันจะไม่ดัง แต่ด้วยโครงสร้างของลานจอดรถที่มันทำให้เสียงก้อง เฉิงชิวอวี้จึงพอจะได้ยินว่าแทบทุกคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเธออยู่
อย่างไรก็ตามแทนที่เธอจะพอใจกับคำชมเหล่านั้น เธอกลับแสดงสีหน้าขมขื่นเมื่อมองไปที่อวี้ฮ่าวหราน
ในชีวิตของเธอมีแต่คนพยายามเอาอกเอาใจ อยากเข้ามาทำความรู้จักเธอจนตัวสั่น แต่ผู้ชายข้าง ๆ เธอคนนี้กลับปฏิเสธคำเชิญของเธออยู่ตลอด จนท้ายที่สุดเธอต้องทำถึงขนาดต้องขอร้องให้เขามางานเลี้ยงด้วย!
จิตใจของผู้ชายคนนี้ทำด้วยเหล็กรึไงถึงไม่หวั่นไหวกับเสน่ห์ของเธอเลย?
จากนั้นทั้งคู่เดินตรงเข้าไปด้านในโรงแรม แต่เสียงซุบซิบก็ยังดังไล่หลังพวกเขามาอย่างไม่ขาดสาย
“ว่ากันว่าเฉิงกัวอันตามใจลูกสาวของเขาคนนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าหากใครได้แต่งงานกับเธอไปมันก็เท่ากับว่าผู้ชายคนนั้นได้สืบทอดบริษัทชิวเฮิงไปด้วยแน่นอน”
“ว่าแต่ใครกันที่อยู่ข้าง ๆ เธอ ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนบอดี้การ์ดของเธอสักเท่าไหร่จากตำแหน่งการเดิน?”
“ดูเสื้อผ้าที่เขาใส่สิ ชุดสูทแบบนั้นมันของราคาถูกชัด ๆ คนแบบนั้นมาเดินข้างเฉิงชิวอวี้ได้ยังไง?”
แน่นอนว่าแทบทุกคนสังเกตเห็นอวี้ฮ่าวหรานซึ่งกำลังเดินอยู่ข้าง ๆ เฉิงชิวอวี้
ถ้าเทียบกับเครื่องแต่งกายของผู้คนที่มาร่วมงาน แน่นอนว่าชุดสูทของอวี้ฮ่าวหรานมันต้องดูไร้ราคากว่าอยู่แล้ว เพราะมันคือชุดสูทเก่าของเขาตั้งแต่สามปีที่แล้วก่อนที่เขาจะตกเหวซึ่งตอนนั้นเขาไม่ใช่คนรวยอะไร และตอนนี้ถึงแม้เขาจะมีเงินเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเครื่องแต่งกายมากนัก
ในความคิดของเขา พวกเครื่องแต่งกายแพง ๆ มันมีเอาไว้อวดร่ำอวดรวยก็แค่นั้น ซึ่งคนอย่างเขาไม่มีความจำเป็นต้องไปอวดกับใคร เขาคืออดีตจักรพรรดิเทพ เขาไม่จำเป็นต้องอวดรวยให้ใครเห็นเพราะเมื่อถึงเวลาทุกคนจะต้องก้มหัวให้เขาอยู่แล้วแม้เขาจะใส่แค่เสื้อผ้ามือสองก็ตาม!
“ไอ้เวรขอทานนั่นมันเป็นใครกัน? ใครอนุญาตให้มันเดินคู่กับเทพธิดาชิวอวี้ของฉัน!”
“เหอะ! ดูการแต่งตัวของมันสิ ชุดสูทนั่นมันคงไม่ได้ซื้อมาเองมันต้องไปเช่ามาแน่ ๆ ดูจากท่าทางแล้วคนอย่างมันคงไม่มีปัญญาซื้อรถด้วยซ้ำ!”
ด้วยความอิจฉา ผู้คนจึงยิ่งพูดส่อเสียดอวี้ฮ่าวหรานดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าจะให้ได้ยินชัด ๆ
“เฮ้ไอ้คนชั้นต่ำ! ใครอนุญาตให้แกมาเดินคู่กับคุณหนูเฉิงของพวกเราแบบนี้!?”
หนึ่งในวัยรุ่นที่แต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายราคาแพงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนักตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าทนไม่ไหว
เขารับไม่ได้ที่ใครก็ไม่รู้มาเดินเคียงข้างเทพธิดาในใจของเขา ซึ่งแม้แต่เขาเองยังไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำ
เรื่องแบบนี้เขาจะไปทนไหวได้ยังไง?
อวี้ฮ่าวหรานหยุดกึกและเหล่หางตาไปมองทันที
อย่างไรก็ตาม เฉิงชิวอวี้หันขวับไปหาผู้ชายวัยรุ่นคนนั้นเช่นกันและตะโกนกลับไปเสียงดังให้คนอื่น ๆ ได้ยิน “ฉันเองนายมีปัญหารึไง? อ้อแล้วอีกอย่างใครเป็นเทพธิดาของนายกัน? อย่าเอาฉันไปฝันเฟื่องโดยพลการแบบนี้มันดูโรคจิตนายรู้ตัวไหม!”
เมื่อตะโกนจบ เฉิงชิวอวี้หันกลับมายิ้มให้อวี้ฮ่าวหรานทันที “ฮ่าวหราน นายอย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย คนพวกนี้มันก็แค่พวกเด็กรุ่นหลังที่เอาแต่พึ่งบารมีพ่อแม่ขอเงินที่บ้านใช้ไปวัน ๆ”
เฉิงชิวอวี้พยายามอธิบายให้อวี้ฮ่าวหรานใจเย็นลง เพราะเธอกลัวว่าเขาจะอารมณ์เสียและออกจากงานเลี้ยงไป
กว่าที่เธอจะชวนเขามางานเลี้ยงนี้ได้มันก็ยากอยู่แล้ว ดังนั้นการที่มีคนตะโกนด่าอวี้ฮ่าวหรานซึ่งมันอาจส่งผลให้ความพยายามของเธอที่ทำลงไปพังทลาย มันจึงทำให้เธอเก็บอารมณ์ไม่อยู่และตะโกนออกไป!
แน่นอนว่าผู้คนต่างตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินเฉิงชิวอวี้ตะโกนปกป้องผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ เธอแบบนี้ หลายคนต่างยิ่งสงสัยว่าผู้ชายที่มากับเธอด้วยเป็นใครกัน ทำไมถึงสำคัญขนาดให้เธอเอ่ยปกป้องอย่างออกนอกหน้าแบบนั้น?
ส่วนทางด้านของวัยรุ่นที่โดนตะโกนด่าเมื่อครู่ หน้าของเขาเจื่อนไปในทันที เขาอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเพราะความอายที่เทพธิดาของตัวเองหาว่าเขาเป็นไอ้โรคจิต!