“ฉันคือลูกชายคนเดียวของหวังเจา เจ้าของบริษัทเวชภัณฑ์ไป๋เชา แกรู้ไหมว่าฉันมีอำนาจพอจะสั่งให้แกตายได้กี่รอบ! วันนี้ถ้าแกไม่คลานต่อหน้าฉันแล้วเห่า 3 ครั้ง ฉันบอกเอาไว้เลยว่าหลังจากนี้แกมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 วันแน่นอน!”
หวังเจวียตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล เขาต้องการแสดงให้เฉิงชิวอวี้เห็นว่าผู้ชายที่เธอเลือกมันไร้ค่าแค่ไหน
มันต้องไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับหมาจรจัดตัวหนึ่ง!
เขามั่นใจว่าสถานะของเขาที่เป็นถึงลูกชายของหวังเจา จะทำให้เขาทำได้ทุกอย่าง ในเมืองนี้ไม่มีใครกล้าหืออือกับเขาแน่นอน!
อย่างไรก็ตามวันนี้เขาเข้าใจผิดถนัด!
คนที่เขากำลังข่มขู่อยู่นั้นไม่ใช่คนธรรมดาแต่คืออวี้ฮ่าวหราน!
อวี้ฮ่าวหรานไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าใครจะมาจากตระกูลไหน ถ้าใครล่วงเกินเขา คนคนนั้นต้องเจ็บตัว!
“เพี้ยะ!!”
เสียงตบกังวานลั่นห้องโถงจัดงานเลี้ยง
แก้มที่เรียบเนียนของหวังเจวียมีรอยแดงเป็นรูปฝ่ามืออย่างเห็นได้ชัด!
“น…นี่…แกกล้าดียังไงถึงตบฉัน!!” หวังเจวียจับแก้มตัวเองด้วยสีหน้าตกตะลึงพร้อมกับตวาดขึ้นดังลั่น
“ถ้าแกยังไม่หุบปากแล้วไสหัวไปให้พ้นหน้าฉัน ฉันจะตบแกให้ฟันหลุดเลยคอยดู!”
อวี้ฮ่าวหรานเห็นแก่หน้าเฉิงชิวอวี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่เขาคงตบหวังเจวียจนตัวลอยไป 3-4 เมตรแล้ว
ทางด้านของหวังเจวีย เขายิ่งแสดงสีหน้าโง่งมมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามไม่ได้กลัวอะไรเขาเลย และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาเห็นดวงตาที่ดูน่ากลัวของอวี้ฮ่าวหราน มันก็ทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไอ้สารเลวนี่มันเป็นใครกัน? ทำไมมันถึงไม่กลัวอิทธิพลของเขาเลย? แล้วสายตานั่นมันคืออะไรกัน ทำไมมันถึงทำให้เขากลัวได้ขนาดนี้?
“การที่แกอวดเบ่งได้ไปทั่วมันเป็นเพราะชื่อเสียงของตระกูลแกทั้งนั้น แกไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าคนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครถ้าได้มาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับแก พวกเขาก็ทำได้ไม่ต่างจากแกเหมือนกันฉะนั้นอย่ามาปากดีกับฉันให้มันมากนัก”
“อ้อ แล้วอีกอย่างในสายตาของฉัน ตระกูลบ้า ๆ บอ ๆ ของแกไม่ได้มีค่าพอจะให้ฉันชายตามองเลย!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดจี้จุดได้ราวกับเขารู้ว่าหวังเจวียคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่านั่นคือหวังเจวียไม่ใช่เหรอ? ทำไมเขาโดนตบจนหน้าแดงแบบนั้น?”
เหตุการณ์ขัดแย้งในตอนนี้มันบานปลายจนดึงดูดความสนใจของผู้คนที่มาร่วมงานจนหมดแล้ว บรรดาผู้คนที่รู้จักหวังเจวียซึ่งเพิ่งเข้ามาเห็นผลลัพธ์จึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าโง่งม และคนที่เพิ่งเอ่ยทักก็คือหลินป๋อ เจ้าของบริษัทเจิ้งไห่ที่รู้จักกับอวี้ฮ่าวหรานนั่นเอง!
ทันทีที่หวังเจวียเห็นหน้าคนคุ้นเคย เขารีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที
“ลุงหลิน! ไอ้คนชั้นต่ำคนนี้มันตบหน้าผม ลุงหลินช่วยไล่มันออกไปที! ลุงหลินช่วยไล่มันออกไปให้ผมที!”
ต้องรู้ว่าบริษัทเจิ้งไห่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของเมืองฮ่วยอัน ดังนั้นสถานะทางสังคมของหลินป๋อจึงนับได้ว่ามีแต่คนให้ความเคารพ หวังเจวียจึงคิดว่าหากหลินป๋อเอ่ยปาก อวี้ฮ่าวหรานจะต้องไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปจากที่ด้วยความอับอายทันที!
ความคิดของหวังเจวียตอนนี้ก็คือถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่กล้าใช้กำลังตอบโต้ฝั่งตรงข้าม แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ขอฉีกหน้าฝั่งตรงข้ามเพื่อเอาคืนก่อนเป็นอันดับแรก แล้วหลังจากนี้พอออกไปข้างนอกค่อยตามพวกมาเอาคืนมันทีหลัง!
ทางด้านของหลินป๋อ เมื่อเห็นว่าหวังเจวียกำลังขอความช่วยเหลือเขาก็คิดที่จะช่วยเช่นกันเพราะเขาเองก็รู้จักกับตระกูลหวังมานานแล้ว แต่ในทันทีที่เขาหันไปดูหน้าของอีกฝ่าย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“อะ…อ้าว ที่แท้ก็เป็นน้องอวี้อย่างงั้นเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า! ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะได้เจอน้องอวี้ที่นี่วันนี้! ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีจริง ๆ รอบที่แล้วที่เราดื่มกันมันสนุกมากจริง ๆ!”
สีหน้าของหลินป๋อเปลี่ยนไปแบบ 180 องศา จากขึงขังจะเอาเรื่องกลายเป็นยิ้มแย้มราวกับว่าเพิ่งเจอญาติสนิทที่ไม่เจอกันมานานเป็นสิบปี!
“อืม ผมเองก็หวังว่าเราจะได้ดื่มกันอีกรอบเช่นกัน”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยความสุภาพ ไม่ว่ายังไงฝั่งตรงข้ามก็คือผู้ผลิตรายใหญ่ของเขา เขาจำเป็นต้องรักษาสัมพันธ์นี้เอาไว้ให้ดี
“เอ่อ… ว่าแต่น้องอวี้มีปัญหาอะไรกับหวังเจวียงั้นเหรอ?”
หลังจากทักทายกันเสร็จ หลินป๋อเดินเข้ามาถามเสียงเบาถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่ทั้งน้ำเสียงและท่าทีของเขาไม่ได้ดูจะเอาผิดอวี้ฮ่าวหรานเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามถามเขาอย่างเป็นมิตร อวี้ฮ่าวหรานจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทุกอย่างให้หลินป๋อฟังทั้งหมด
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้างั้นเรื่องนี้มันก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง มันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน ฮ่าฮ่า!”
“เอาล่ะในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแบบนี้ ถ้างั้นทุกคนมาปรองดองกันดีกว่า หลานหวังมาสิเข้ามาใกล้ ๆ มาจับมือกับพี่อวี้ปรับความเข้าใจกันเร็ว!”
หลินป๋อเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสดงท่าทีว่าต้องการเป็นคนกลางสงบศึกระหว่างคนทั้งคู่ ซึ่งมันทำให้คนที่ดูอยู่รอบ ๆ ต่างแสดงสีหน้าโง่งมยิ่งกว่าเดิม
นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันตรงไหน?
ตบฉาดใหญ่แบบนั้นที่ดังจนลั่นห้องโถง มันเป็นความเข้าใจผิดกันประเภทไหนกัน?
หลินป๋อ… นี่พจนานุกรมที่คุณอ่านมันเล่มไหนกัน? ความหมายคำว่า ‘เข้าใจผิด’ มันใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไม่ได้แน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะคิดว่าคำอธิบายนี้มันดูไม่เหมาะสมขนาดไหน แต่หลินป๋อก็ยังคงทำราวกับว่าคำพูดของเขามันสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
“ลุงหลิน! นี่ลุงจะให้ผมจับมือกับไอ้คนชั้นต่ำนี่จริง ๆ งั้นเหรอ!”
หวังเจวียรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาไม่นึกเลยว่าคนระดับอย่างหลินป๋อจะรู้จักกับคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานด้วย!
และยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนทั้งคู่สนิทกันมากอีกต่างหาก!
“หลานหลิน ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรก็พูดจาให้ระวังหน่อย น้องอวี้ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่หลานเข้าใจ ลุงคิดว่าหลานควรจะให้เกียรติน้องอวี้ของลุงหน่อยเพื่อประโยชน์ของหลานเอง”
เมื่อเห็นว่าหวังเจวียยังคงพูดจาหยาบคายกับอวี้ฮ่าวหราน หลินป๋อก็ได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้เขานึกว่าหวังเจวียเป็นเด็กที่มีความสามารถ แต่พอวิเคราะห์จากเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น มันก็ดูเหมือนว่าเขาดูคนผิดไปเยอะเลยทีเดียว
หวังเจวียเป็นคนที่ไม่มีไหวพริบและตัดสินคนแต่ภายนอก ซึ่งคนแบบนี้ทำอะไรก็คงไม่เจริญสักเท่าไหร่…
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินคำพูดของหลินป๋อ มันก็ยิ่งทำให้ความโกรธในใจของหวังเจวียยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
ไอ้แก่เอ๊ย! ปากเรียกฉันเป็นหลาน แต่การกระทำของแกกลับเข้าข้างคนอื่นอย่างออกนอกหน้า แล้วแบบนี้ฉันจะเคารพแกไปทำบ้าอะไร!
หวังเจวียไม่ยอมอยู่ให้โดนกดดันอีกต่อไปแล้ว เมื่อเห็นว่าหลินป๋อไม่เข้าข้างเขา เขาจึงหันหลังและเดินหนีไปในทันที
“เฮ้อ…น้องอวี้ เอาเป็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ฉันคงต้องขอโทษแทน หวังเจวียด้วยจริง ๆ เขาเป็นเด็กที่เอาแต่ใจอยู่สักหน่อย แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก อย่าถือสาเลยนะ”
หลินป๋อยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหวังเจวียเดินหนีไป ตอนนี้ในใจ ของเขาไม่ได้สนใจอะไรกับหวังเจวียอีกต่อไปแล้วเพราะตอนนี้เขามีคนที่คู่ควรให้ค่ามากกว่า ซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหราน!
คนหนุ่มอย่างอวี้ฮ่าวหรานที่สามารถบริหารบริษัทใหญ่โตได้ด้วยตัวเองสมควรที่เขาจะคบหาด้วยมากกว่าเด็กอย่างหวังเจวียที่วัน ๆ อาศัยแต่บารมีตระกูลกรุยทางความสำเร็จให้ตัวเอง
“น้องอวี้ ไหน ๆ วันนี้พวกเราก็ได้เจอกันแล้ว ดังนั้นมากับฉันหน่อยดีกว่าฉันจะพาไปรู้จักเพื่อน ๆ ของฉันเพื่อที่นายอาจจะได้คู่ค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก”
เมื่อถูกเชิญแบบนี้ แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางปฏิเสธเขารีบเดินตามหลินป๋อไปในทันที
หลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็ได้พบกับบรรดาเจ้าของบริษัทมากมาย ซึ่งหลายคนอวี้ฮ่าวหรานรู้จักอยู่แล้วเพราะพวกเขาเป็นเจ้าของบริษัทที่เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อสินค้ากับเครือฮ่าวหรานเมื่อไม่กี่วันมานี้
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากกับการมาที่นี่ในวันนี้ เพราะเขาได้เจอกับผู้คนที่เขาอาจหาประโยชน์ได้มากมายซึ่งมันเป็นเป้าหมายในการมาที่นี่ของเขาตั้งแต่แรก
ท้ายที่สุด คนทั้งกลุ่มต่างก็ได้รับผลประโยชน์ของตัวเองกันทั้งหมด ซึ่งมันทำให้พวกเขายิ่งคุยกันอย่างเบิกบานมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีคนคน หนึ่งที่รู้สึกไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อยในตอนนี้นั่นก็คือหวังเจวียที่ยังไม่ได้ออกไปนอกงาน ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะเดินหนีไป แต่เขาก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เขาเดินไปหลบที่มุมหนึ่งของงานและจ้องเขม็งไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาอาฆาต
น่าเสียดายที่วันนี้เขาไม่มีอิทธิพลพอจะบดขยี้ฝั่งตรงข้าม เพราะตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานมีคนหนุนหลังเยอะเกินไป เขาไม่สามารถล่วงเกินคนทั้งกลุ่มได้ด้วยตัวคนเดียว
เมื่องานเลี้ยงดำเนินไปถึงตอน 4 ทุ่ม แขกทั้งหลายก็ค่อย ๆ ทยอยกันกลับบ้าน
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาขับรถไปส่งเฉิงชิวอวี้ก่อนจากนั้นเขาถึงขับรถกลับคอนโดของเขาเอง
เบ็ดเสร็จแล้วกว่าเขาจะกลับถึงคอนโดก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเวลานี้ถวนถวนหลับไปเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือหลี่หรงยังคงนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“พี่เขยทำไมพี่เพิ่งกลับมาเอาป่านนี้? งานในบริษัทยุ่งมากเลยเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานกลับมาแล้ว หลี่หรงปิดทีวีและลุกขึ้นเดินเข้าไปถามอวี้ฮ่าวหรานทันที ซึ่งการกระทำของเธอแบบนี้มันบ่งบอกว่าที่เธอยังไม่ไปนอนเพราะเธอกำลังรอเขากลับบ้านอยู่
แต่ก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานจะทันได้ตอบอะไรกลับ หลี่หรงก็ทำจมูกฟุดฟิดราวกับว่าได้กลิ่นแปลกปลอมอะไรบางอย่าง
“หืม? พี่เขย ทำไมที่ตัวของพี่มีกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ ติดอยู่ด้วย? กลิ่นนี้มันไม่ใช่กลิ่นที่ฉันใช้แน่นอน!”
อวี้ฮ่าวหรานถึงกับผงะทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้พร้อมกับคิดบ่นในใจด้วยสีหน้าโง่งม
นี่เธอเป็นหมารึไงทำไมถึงแยกแยะกลิ่นได้ไวขนาดนี้? ว่าแต่… ตัวของฉันจะไปมีกลิ่นน้ำหอมของเธอติดอยู่ได้ยังไงกัน แบบนั้นมันไม่ยิ่งแปลกกว่างั้นเหรอ?