“เข้าใจแล้ว”
หลังจากได้ยินคำอธิบายของผู้จัดการหวัง อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะตอบกลับว่า “เอาเป็นว่าปีนี้ทำตามที่ผมบอก เราจะแจกขนมไหว้พระจันทร์ให้กับทุกคนในบริษัท!”
“จะเอาแบบนั้นจริง ๆ งั้นเหรอท่านประธาน?”
ผู้จัดการหวังรู้สึกหนักใจเพราะด้วยความใหญ่โตของบริษัทซึ่งมีพนักงานจำนวนมาก การที่แจกขนมไหว้พระจันทร์ให้กับทุกคนแบบนี้มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ เลย
ในมุมมองของเขานี่เป็นการลงทุนที่เสียเปล่า
“แน่นอน และไม่ใช่แค่แจกออกไปแบบส่ง ๆ เราจะต้องแจกออกไปให้ดีด้วย!” อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอรบกวนให้ท่านประธานช่วยตัดสินใจด้วยว่าเราจะแจกขนมไหว้พระจันทร์คุณภาพระดับไหนและท่านต้องการใช้งบเท่าไหร่ในการจัดซื้อ”
หลังจากครุ่นคิด ผู้จัดการหวังจึงเอ่ยขึ้นเสนอแนะ แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ ที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นซึ่งหมายความว่าเขาเองก็รู้สึกดีเช่นกันที่เจ้านายของเขาตัดสินใจแบบนี้
“เรื่องพวกนี้ผมอนุญาตให้คุณตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลย แค่จำเอาไว้ว่าเงินไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้มั่นใจว่าคนในบริษัททุกคนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการเอาใจใส่ก็พอ”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ
“สำหรับเรื่องนี้เดี๋ยวผมจะไปบอกฝ่ายบัญชีให้ว่าคุณสามารถเบิกงบได้เต็มที่โดยที่ไม่ต้องผ่านลายเซ็นของผม เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ผมอยากจะให้มันสำเร็จให้ไวที่สุด”
“ได้เลยครับท่านประธาน ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”
ผู้จัดการหวังรีบรับปากทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ และในเวลาเดียวกันเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เขาไม่นึกเลยว่าเจ้านายของเขาจะไว้ใจเขามากขนาดนี้จนถึงขนาดให้เขาสามารถเบิกงบได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบ!
เมื่อถูกไว้วางใจขนาดนี้เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมากต่ออวี้ฮ่าวหราน
หลังจากให้คำมั่นเรียบร้อย ผู้จัดการหวังเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปเตรียมการทุกอย่างให้เร็วที่สุด เพราะเทศกาลไหว้พระจันทร์มันใกล้จะถึงอยู่รอมร่อแล้ว
อวี้ฮ่าวหราน มองผู้จัดการหวังออกจากห้องไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขามั่นใจว่าคน ๆ นี้ไว้ใจได้และไม่มีวันหักหลังเขาแน่นอน
แต่แล้วในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีสายโทรเข้ามา
“ฟ่านซีเหยียน?”
เมื่อเห็นชื่อขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อสองวันที่แล้วพวกเขาเพิ่งเจอกันไปนี่นา วันนี้มีอะไรอีก?
“อวี้ฮ่าวหราน! วันนั้นที่เราไปกินข้าวกันฉันโดนปาปารัซซี่แอบถ่ายภาพในขณะที่พวกเราอยู่ด้วยกัน คุณช่วยฉันแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ไหม? ถ้าภาพพวกนั้นหลุดออกไปฉันคงเดือดร้อนแน่ ๆ เลย!”
น้ำเสียงของฟ่านซีเหยียนวันนี้ไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย วันนี้เธอดูเหมือนโกรธเป็นพิเศษ
“มันเกิดปัญหาแบบไหนขึ้น?”
อวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่เข้าใจ เขารู้สึกงุนงงว่าการไปกินข้าวเฉย ๆ กับเขาและลูกของเขามันสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายได้ยังไง?
“มันเป็นเพราะไอ้เจ้าปาปารัซซี่ตัวดีคนนั้นถ่ายภาพของเราสามคน แล้วเอาไปประโคมข่าวว่าฉันมีสามีและลูกอย่างลับ ๆ น่ะสิมันเลยเกิดปัญหาขึ้น!”
“ห๊ะ? สามี? ลูก?”
อวี้ฮ่าวหรานอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะถูกใส่ความได้ถึงขนาดนี้แค่เพียงเพราะไปกินข้าวกับเขา?
“ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่เคยมีแฟนด้วยซ้ำ แล้วฉันจะไปมีสามีได้ยังไง!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่หดหู่ของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกเห็นใจ เขารู้สึกว่าเขาคงไม่สามารถทนดูเฉย ๆ ได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
“หืม? คุณสามารถทำให้พวกสื่อแก้ข่าวได้งั้นเหรอ?”
ฟ่านซีเหยียนถามกลับด้วยน้ำเสียงตกตะลึง เธอแค่ลองโทรมาถามดูเฉย ๆ ว่าอีกฝ่ายสามารถช่วยอะไรได้หรือเปล่าโดยที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายกลับสัญญาว่าจะช่วยเธอซะงั้น
“ไม่ต้องกังวลผมเคยจัดการกับพวกสื่อมาก่อน คุณแค่รอดูผลลัพธ์ก็พอ”
อวี้ฮ่าวหรานค่อนข้างมั่นใจว่าเขาน่าจะทำสำเร็จได้ไม่ยาก ครั้งที่แล้วเขายังสามารถทำให้พวกสื่อหลัก ๆ กลับลำในเรื่องของบริษัทชิวเฮิงได้ดังนั้นแค่พวกสำนักข่าวซุบซิบในท้องถิ่นเล็ก ๆ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรแน่นอน
“แต่ว่า…คุณ…”
ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำยืนยันที่หนักแน่นของอวี้ฮ่าวหราน แต่ฟ่านซีเหยียน ก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี เธอกังวลใจว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแก้ไขได้อย่างไร?
การจัดการกับปาปารัซซี่พวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย!
“ไม่เป็นไรแค่คุณบอกที่อยู่ของสำนักข่าวที่เล่นข่าวของคุณมาก็พอรวมถึงชื่อคนที่เล่นข่าวคุณด้วย”
อวี้ฮ่าวหรานพูดแทรกอีกฝ่ายและถามถึงรายละเอียดทันที เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับการปลอบใจให้มากนัก
อันที่จริงที่เขาอยากช่วยมากยิ่งขึ้นเป็นเพราะในภาพถ่ายมีเขาและถวนถวนอยุ่ในนั้นด้วยเขาไม่ต้องการให้ชีวิตของเขาเองยุ่งยากมากขึ้นเช่นกัน
“ก็ได้…ก็ได้…”
ท้ายที่สุด ฟ่านซีเหยียนก็บอกรายละเอียดที่อยู่ของสำนักข่าวและชื่อปาปารัซซี่ที่ถ่ายภาพให้กับอวี้ฮ่าวหรานได้รับรู้
หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมด อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถออกจากบริษัททันที
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง อวี้ฮ่าวหรานก็ไปถึงสำนักข่าวเทียนเย่
“ขอประทานนะคะ คุณต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่า?”
หญิงสาวหน้าตาที่นั่งอยู่ตรงประชาสัมพันธ์เอ่ยถามอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“ผมอยากจะรู้ว่าหว่านเฮิงตอนนี้อยู่ที่นี่รึเปล่า?”
อวี้ฮ่าวหรานถามกลับอย่างสุภาพเช่นกัน
“ต้องขอประทานโทษด้วยแต่ขณะนี้หว่านเฮิงไม่ได้อยู่ในบริษัท เขาออกไปหาข่าวเมื่อหลายวันที่แล้ว ว่าแต่คุณมีข้อความอะไรจะฝากถึงเขาไว้เป็นการส่วนตัวไหมค่ะ?”
หญิงสาวตอบกลับด้วยพร้อมกับยิ้มอย่างมีเสน่ห์ เธอรู้สึกชื่นชมในความหล่อเหลาของอวี้ฮ่าวหราน
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาจึงหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินออกไป เนื่องจากอีกฝ่ายไม่อยู่ที่นี่มันจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องรั้งอยู่ที่นี่ต่อ
“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ! น…นี่คุณ นี่คุณ คุณคือสามีของฟ่านซีเหยียนนี่นาใช่ไหม!?”
ที่ด้านหลังหญิงสาวที่ต้อนรับอวี้ฮ่าวหรานเมื่อครู่ หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาจู่ ๆ ก็พูดขึ้นเสียงดังด้วยแววตาตื่นเต้นในขณะที่เธอจ้องอวี้ฮ่าวหราน
“จริงด้วย! ใช่เลย!”
“นี่ไง ๆ เขาเป็นคนเดียวกับในภาพข่าวจริง ๆ!”
“เขานี่แหละ!”
“…”
คำพูดของหญิงวัยกลางคนดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบ ๆ ทันที พวกเขาทุกคนต่างอ่านข่าวนี้กันหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพอจะจำหน้าของงอวี้ฮ่าวหรานได้
“นี่…คุณคือสามีของฟ่านซีเหยียนงั้นเหรอ?”
หญิงสาวที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง
เมื่อเผชิญกับสถานการณืนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วทันที ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าทำไมฟ่านซีเหยียนถึงดูกังวลนัก!
ที่แท้ข่าวลือมันร้ายแรงขนาดนี้นี่เอง!
“ที่ผมมาที่นี่เพราะผมต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ทั้งหมด!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด เขาไม่ต้องการให้ข่าวลือปลอม ๆ นี้แพร่ออกไปสักเท่าไหร่เพราะมันจะทำให้เขามีปัญหาในภายหลังรวมไปถึงฟ่านซีเหยียนด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะจากไปลงชั่วคราว เขาตัดสินใจที่จะถามข้อมูลให้มากกว่าเดิม
“ก่อนหน้านี้หว่านเฮิงไปที่ไหนมาบ้าง? ฉันต้องทำยังไงถึงจะได้เจอตัวมัน!”
เพื่อเป็นการลดเรื่องไร้สาระที่ไม่จำเป็น อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับโคจรพลังวิญญาณและปล่อยคลื่นพลังออกไปเพื่อควบคุมสมองให้ทุกคนตอบคำถามตามที่เขาต้องการ
ถึงแม้ว่าระดับพลังของเขาจะยังคงไม่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่แต่การใช้วิธีนี้กับคนธรรมดาทั่วไปมันยังได้ผล แต่ถ้าหากเอาไปใช้กับพวกผู้บ่มเพาะมันจะไร้ประโยชน์
ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบเมื่อเผชิญกับคลื่นพลังของ อวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างถูกความหวาดกลัวครอบงำสมองและจิตใจจนยอมตอบทุกอย่างตามที่อวี้ฮ่าวหรานถาม
“ว…หว่านเฮิง…เขามักจะปิดโทรศัพท์อยู่เสมอในเวลาที่เขาออกไปหาข่าว…และเขาไม่เคยบอกพวกเราเลยว่าเขากำลังจะไปไหนบ้าง…พวกเราไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน…”
หญิงวัยกลางคนเป็นคนแรกที่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แต่แล้วหญิงสาวที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก “ด…ดูเหมือนว่าช่วงนี้หว่านเฮิงกำลังตามข่าวของฟ่านซีเหยียนอยู่ ดังนั้นเขาน่าจะอยู่แถว ๆ ที่ฟ่านซีเหยียนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่งั้นเขาคงถ่ายภาพพวกคุณไม่ได้…”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เมื่อได้ยินข้อมูลนี้เขามั่นใจว่าการหาตัวอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!