เฉินซิวเชื่ออยู่เสมอว่าหัวหน้าแก็งค์ไม่มีทางคิดร้ายต่อเขาแน่นอน ดังนั้นตนจึงทำตามที่สั่งทันที
เมื่อถึงช่วงบ่าย เขาพาลูกน้องของตัวเองออกไปหาข้อมูลที่อยู่ของฟ่านซีเหยียนซึ่งใช้เวลาไม่นานเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไปออกงานอีเว้นท์ซึ่งอยู่ไม่ไกล
แน่นอนว่าด้วยเส้นสายที่เขามีในเมืองฮ่วยอันมันจึงไม่ยากเลยที่เขาจะเจอตัวเธอ
หลังจากรู้ที่อยู่เป็นที่เรียบร้อย เฉินซิววางแผนทุกอย่างและรอเวลาจนถึง4โมงเย็นเขาถึงพาลูกน้องไปยังงานแสดงสินค้าที่ฟ่านซีเหยียน ต้องไปโชว์ตัวเป็นแขกรับเชิญ
คราวนี้ลูกน้องแต่ละคนที่เขาพาไปล้วนแล้วแต่เป็น ผู้ที่ได้รับการฝึกศิลปะการต่อสู้มาแล้วทั้งนั้น เขามั่นใจว่าพวกบอดี้การ์ดของฟ่านซีเหยียนทั้งหลายไม่มีทางหยุดพวกเขาได้แน่!
ในเวลาไม่นานพวกเขาก็บุกเข้าไปถึงด้านหลังเวทีที่ฟ่านซีเหยียน จะต้องขึ้นไปโชว์ตัวและร้องเพลงเล็กน้อย
ในขณะนี้ฟ่านซีเหยียนกำลังเตรียมพร้อมอยู่ในห้องแต่งตัว แต่เธอไม่รู้เลยว่าอีกเดี๋ยวเธอจะต้องเจอกับเรื่องน่าระทึกอีกรอบ!
“โครม!!”
จู่ ๆ ประตูห้องแต่งตัวของเธอถูกถีบเปิดออกจนมีเสียงกระแทกดังลั่น
“พ…พวกคุณเป็นใคร!?”
เมื่อพังประตูเข้ามาแล้ว กลุ่มคนของเฉินซิวนับสิบได้กรูกันเข้ามาล้อม ฟ่านซีเหยียนและบอดี้การ์ดอีก 8 คนของเธอ
หลังจากเหตุการณ์จากคอนเสิร์ตครั้งล่าสุด เธอได้จ้างบอดี้การ์ดชุดใหม่ที่ดีกว่าเดิมและคอยให้ตามเธอเวลาไปออกงานต่าง ๆ แบบไม่ให้ห่างไปไหน
“คุณฟ่าน โปรดมากับพวกเรา ผมมาที่เพื่อเชิญคุณไปคุยกันในที่เงียบ ๆ เฉพาะเราเท่านั้น”
เฉินซิวไม่ได้เห็นพวกบอดี้การ์ดอยู่ในสายตาเลย เขาเอ่ยชวนฟ่านซีเหยียนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงข่มความกลัวอวี้ฮ่าวหรานเอาไว้ เขาได้ล่วงเกินฝั่งตรงข้ามไปแล้วดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องชั่งใจอะไรอีกต่อไป
“บัดซบเอ๊ย! พวกแกเป็นใครกัน? กล้าดียังไงถึงได้มารังแกฟ่านซีเหยียน?”
ในขณะเดียวกัน บอดี้การ์ดร่างยักษ์ที่สูง 1.9 เมตรของฟ่านซีเหยียน ตะโกนขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้าเดือดดาล
กลับกันเฉินซิวก็หัวเราะเยาะเย้ยกับท่าทีของบอดี้การ์ร่างยักษ์ผู้นี้
คนธรรมดาต่อให้มีกล้ามเนื้อเยอะมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางสู้คนที่บ่มเพาะอย่างเขาได้อยู่แล้ว
พลังภายในร่างของเขาสามารถเจาะทะลวงกล้ามเนื้อเหล่านี้ได้อย่างสบาย ๆ การที่เขาจะฆ่าบอดี้การ์ดคนนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย!
“เฮ้อ…ฉันขอฟื้นความจำให้แกสักหน่อยว่าการที่แกจะฝึกร่างกายมาได้ขนาดนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ดังนั้นฉันขอเตือนแก อย่าเอาชีวิตของแกมาทิ้งที่นี่ จงไสหัวไปซะก่อนที่ฉันจะฆ่าแก!”
เฉินซิวตะคอกใส่โดยไม่สนใจเลยว่าอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่าเขามากกว่า 1 เท่าตัว!
“แก!” หน้าบอดี้การ์ดของฟ่านซีเหยียนโมโหยิ่งกว่าเดิมเมื่อโดนดูถูกแบบนี้ เขาพุ่งเข้าไปโจมตีเฉินซิวทันที “ในเมื่อแกอยากตายนักงั้นฉันจะสนองให้!”
บอดี้การ์ดร่างยักษ์ตรงเข้าไปคว้าคอของเฉินซิวอย่างรวดเร็ว
“เฮอะ! โง่สิ้นดี!”
เฉินซิวพ่นลมหายใจอย่างดูถูกเมื่อเห็นเช่นนี้ จากนั้นเขาต่อยสวนออกไปที่มือของหัวหน้าบอดี้การ์ดที่กำลังจะเข้ามาคว้าคอของเขา
“ปัง!!”
เสียงมือและหมัดปะทะกันดังลั่นชัดเจน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันคือร่างของหัวหน้าบอดี้การ์ดกระเด็นถอยหลังจากแรงกระแทกไปชนกับกำแพงไม้อัดจนเป็นรู
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าบอดี้การ์ดยังคงลุกขึ้นได้แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นตื่นตระหนก
“น…นี่แกเป็นผู้บ่มเพาะงั้นเหรอ?”
เนื่องจากตัวเขาเองก็เป็นญาติห่าง ๆ ของพวกตระกูลใหญ่ดังนั้นเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับผู้บ่มเพาะอยู่บ้าง
“โอ้ แกนี่รู้เยอะดีเหมือนกันนะเนี่ย แต่เมื่อกี้ฉันอุตส่าห์ให้โอกาสแกแล้วแต่แกกลับไม่ยอมดังนั้นฉันคงต้องขอลงมือสั่งสอนพวกแกสักหน่อยข้อหาที่กล้ามาขวางทางพวกฉันแก็งค์มังกรคราม!”
หลังจากนั้น ลูกน้องของเฉินซิวเกือบยี่สิบคนต่างกรูเข้าไปรุมอัดบอดี้การ์ดของฟ่านซีเหยียนอุตลุด ซึ่งในเวลาไม่นาน บอดี้การ์ดของฟ่านซีเหยียนทุกคนก็ลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยสภาพยับเยิน
ส่วนทางด้านของหัวหน้าบอดี้การ์ดก็สลบคามือเฉินซิวไปเรียบร้อย
คนแค่ 8 คนจะสู้คนยี่สิบคนได้ยังไงจริงไหม?
เฉินซิวจัดการกับพวกบอดี้การ์ดโดยไม่ได้สนใจว่าฟ่านซีเหยียนจะหนีไปหรือไม่เพราะห้องแต่งตัวมีทางออกแค่ทางเดียว ดังนั้นต่อให้เธอจะพยายามหนีจริงเขาก็สามารถจับตัวเอาไว้ได้ทัน
“เอาล่ะทีนี้พวกเราไปกันได้หรือยัง? ไม่เอาน่า ไม่ต้องมองไอ้พวกบอดี้การ์ดกระจอก ๆ ของคุณหรอกคุณฟ่าน กว่าพวกมันจะลุกขึ้นมาปกป้องคุณได้อีกครั้งก็คงหลายเดือนเลยล่ะ”
เฉินซิวพูดขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้าหาฟ่านซีเหยียนช้า ๆ ไม่สนใจเลยว่าเธอจะแสดงสีหน้าหวาดกลัวขนาดไหน
จากนั้นเฉินซิวลากตัวฟ่านซีเหยียนกลับไปพร้อมกับลูกน้องของเขา ตรงไปที่ไนท์คลับของเขาเองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากเขารั้งอยู่ที่นี่นานเกินไป
เมื่อไปถึงไนท์คลับ เฉินซิวสั่งให้ลูกน้องมากกว่าร้อยชีวิตของเขามารวมตัวกันที่ไนท์คลับและสั่งปิดบริการทุกอย่างทันทีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแผนการขั้นต่อไป
“น…นาย ทำไมนายถึงจับฉันมาที่นี่!?”
ฟ่านซีเหยียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าบอดี้การ์ดที่เธอจ้างมาแสนแพงจะถูกนักเลงพวกนี้จัดการลงได้ง่ายๆ
“อ้อ? ทำไมฉันถึงจับตัวเธอมางั้นเหรอ?”
เฉินซิวยิ้มเย้ย นี่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จริง ๆ งั้นเหรอว่าสามีของเธอกำลังมีความขัดแย้งกับแก็งค์ของเขา?
“ฉันบอกให้ก็ได้! มันเป็นเพราะว่าผัวของเธอตั้งตัวเป็นศัตรูกับแก็งค์มังกรครามของพวกฉัน และวันนี้ฉันจะทำให้มันได้สำนึกว่าไม่ควรจะมายั่วยุพวกฉันตั้งแต่แรก!”
“ผ..ผั แค่ก ๆ สามี?”
ฟ่านซีเหยียนมองไปที่เฉินซิวด้วยสีหน้าสับสน เธอยังไม่มีแฟนเลยด้วยซ้ำเธอจะมีสามีได้ยังไง?
แล้วเป็นศัตรูกับแก็งค์มังกรครามนี่มันอะไรกัน?
“น…นี่พวกนายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าฉัน…”
“หุบปาก! เธอไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าผัวของเธอ อวี้ฮ่าวหราน รังแกพวกฉันอยู่หลายครั้งหลายครา!”
เฉินซิวตะคอกกลับ เขาเริ่มทนไม่ไหวเมื่อเห็นว่า ฟ่านซีเหยียนยังคงแสดงสีหน้าทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
คนเป็นผัวเมียกันจะไม่รู้เรื่องบ้างเลยได้ยังไง?!
“แต่…แต่…ฉันเพิ่งเจอกับอวี้ฮ่าวหรานได้ไม่กี่ครั้งเอง! ฉันจะเป็นภรรยาของเขาได้ยังไง? ฉันไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเขาแบบนั้นสักหน่อย!”
เธอพยายามรวบรวมความกล้าและอธิบายออกไป หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าตัวเองเข้าใจผิดและปล่อยเธอไป
อย่างไรก็ตาม เฉินซิวไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อเธอเลย เขาคิดแค่เพียงว่าอีกฝ่ายคงพยายามโกหกเพื่อเอาตัวรอดก็แค่นั้น
“หุบปากแล้วอยู่เฉย ๆ ไปซะ ไม่ต้องกังวลตอนนี้ยังไม่มีใครทำอะไรเธอแน่ ตราบใดที่อวี้ฮ่าวหรานเชื่อฟังคำสั่งของพวกฉัน!”
…
อีกด้านหนึ่ง ข่าวที่ฟ่านซีเหยียนถูกลักพาตัวไปจากงานแสดงสินค้าของเมืองฮ่วยอันก็เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว!
ที่ตึกสำนักงานใหญ่ของแก็งค์พยัคฆ์เวหา
“ฟ่านซีเหยียนถูกลักพาตัวไปงั้นเหรอ? พวกแกแน่ใจนะว่าเป็นฝีมือของแก็งค์มังกรคราม?”
หลังจากฟังรายงานของลูกน้องตัวเอง สีหน้าของหวังเหยียนเปลี่ยนเป็นมืดหม่น
หากเป็นก่อนหน้านี้มันคงไม่เกี่ยวอะไรกับเขา แต่หลังจากที่เขาเห็นข่าวในทีวีเมื่อสองวันที่แล้วเรื่องเกี่ยวกับฟ่านซีเหยียนและอวี้ฮ่าวหราน เขาก็ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้ว่านี่คงเป็นแผนของแก็งค์มังกรครามที่ต้องการเล่นงานอวี้ฮ่าวหรานแน่นอน!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเหยียนตัดสินใจโทรออกไปหาอวี้ฮ่าวหรานเพื่อปรึกษาว่าจะเอายังไงดีกับเรื่องนี้
สายถูกรับอย่างรวดเร็ว แต่อวี้ฮ่าวหรานรับสายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจที่หวังเหยียนโทรหา
“โทรหาฉันมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”