บทที่ 243 ซื้อใจ
หลังจากรู้แล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานชอบสะสมวัตถุโบราณ กัวหย่งซินจึงลงมือทันที
เมื่อถึงตอนบ่ายสามโมง กัวหย่งซินก็กลับมาที่เครือฮ่าวหรานอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขากลับมาพร้อมแจกันโบราณที่ดูล้ำค่าเป็นอย่างมากในมือ
‘หึหึ คราวนี้ไอ้หนุ่มนั่นมันจะต้องยอมคุยกับฉันแน่นอน ไม่มีใครที่สามารถปฏิเสธความล้ำค่าของแจกันใบนี้ได้!’
กัวหย่งซินคิดกับตัวเองอย่างมั่นใจพลางลูบไล้แจกันที่อยู่ในมือ
แจกันใบนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังซึ่งมูลค่าของมันสูงเป็นอย่างมาก
หากไม่ใช่เป็นเพราะความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้มีมูลค่าสูงลิบลิ่ว เขาคงไม่มีทางเอามันออกมามอบให้อวี้ฮ่าวหรานแน่นอน
หลังจากกลับเข้าไปในบริษัทของอวี้ฮ่าวหราน เขาเข้าไปหาผู้จัดการหวัง ก่อนที่จะขอให้อีกฝ่ายพาไปหาชายหนุ่ม
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นกัวหย่งซินกลับเข้ามาหาเขาอีกแล้วพร้อมกับแจกันที่มีลวดลายงดงามในมือ ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“หืม? มีเรื่องอะไรอีก?”
“ฮ่า ๆ ประธานอวี้ ผมได้ยินว่าคุณชอบสะสมวัตถุโบราณใช่ไหม? นี่คือแจกันสมัยราชวงศ์ถังที่ผมซื้อเก็บเอาไว้นานแล้ว ไม่รู้ว่าคุณชอบมันหรือเปล่า?”
หลังจากพูดจบ กัวหย่งซินก็วางแจกันลงบนโต๊ะของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย แต่เมื่อเขาใช้เนตรเทวะมองดูแจกันนี้ ชายหนุ่มก็ลอบถอนหายใจด้วยความผิดหวัง มันเป็นของแท้แต่น่าเสียดายที่ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่!
หรือจะให้พูดอีกอย่าง…มันไร้ประโยชน์สำหรับเขา!
เมื่อเห็นว่าแจกันใบนี้ไร้ค่าสำหรับตัวเอง อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายให้มากความ
“อืม มันก็ไม่เลว แต่ฉันไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่ เอามันกลับไปแล้วออกไปซะ ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่”
อวี้ฮ่าวหราน พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแสพร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้จัดการหวังส่งแขกออกไป
“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่าคุณชอบสะสมวัตถุโบราณไม่ใช่หรือไง? แจกันใบนี้เป็นของแท้จริง ๆ นะ!”
กัวหย่งซินไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่สนใจแจกันของเขาขนาดนี้ นี่เป็นของแท้แถมยังหายากและมีราคาแพงมาก ๆ อีกต่างหาก!
“ผู้จัดการหวัง ส่งแขก!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากอธิบายอะไรให้เปลืองน้ำลาย เขาเอ่ยสั่งผู้จัดการหวังอีกรอบ
ชายหนุ่มไม่ชอบกัวหย่งซินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังดื้อดึงเขาจึงยิ่งรู้สึกรังเกียจ
จากนั้นท้ายที่สุด กัวหย่งซินก็ถูกพาออกไปจากตึกด้วยสีหน้าเหลอหลา
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง! ไหนว่ามันชอบสะสมวัตถุโบราณมากไม่ใช่หรือไง? แจกันของฉันล้ำค่าขนาดนี้มันไม่ชอบได้ยังไงกัน? นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
อาหลิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ในรถก็แสดงสีหน้างงงวยเช่นกัน เธอไม่นึกเลยว่า อวี้ฮ่าวหรานจะใจแข็งขนาดนี้
“ช่างมัน! พวกเรากลับกันก่อน เอาไว้ค่อยหาทางอื่นเอาอีกที!”
ท้ายที่สุดเมื่อเห็นว่าวันนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว กัวหย่งซินจึงตัดสินใจถอยไปตั้งหลักก่อน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถออกจากบริษัทมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อไปรับถวนถวน
หลังจากขับรถไปถึงโรงเรียนอนุบาล อวี้ฮ่าวหรานรอไม่นานนักก็ถึงเวลา 4 โมงเย็น ซึ่งถวนถวนก็เดินออกมาจากโรงเรียนตามปกติด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เด็กน้อยกระโดดเข้าโผกอดพ่อของเธอทันทีที่เห็นหน้า
“คุณเป็นผู้ปกครองของถวนถวนใช่ไหมคะ? ลูกสาวของคุณน่ารักจริง ๆ ฉันอิจฉาคุณมาก ๆ เลยที่มีลูกน่ารักขนาดนี้”
ครูที่เดินออกมาส่งถวนถวนในวันนี้ไม่ใช่สวีรุ่ย แต่เป็นครูผู้หญิงหน้าใหม่ที่อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“พ่อจ๋า ถวนถวนไม่ได้เห็นครูสวีมาหลายวันแล้ว ถวนถวนคิดถึงครูสวี!”
ถวนถวนบ่นแทรกขึ้นมาทันควัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจขึ้นมา หลายวันมานี้เขาไม่ได้เห็นสวีรุ่ยจริง ๆ นั่นแหละ อีกฝ่ายเป็นอะไรหรือเปล่า?
“โทษทีนะครับ คุณพอจะรู้หรือเปล่าว่าทำไมครูสวีถึงไม่มาสอน?”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามกับครูหน้าใหม่ที่เขาเพิ่งเคยเจอ
“ครูสวี ขอลาไปหลายวันแล้วค่ะ ส่วนเรื่องอะไรนั้นดิฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน…”
ครูหญิงสาวตอบกลับอย่างสุภาพ
“อ้อ ขอบคุณมาก”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะอุ้มถวนถวนจากมา ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะ เพราะแต่ละคนล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ดังนั้นชายหนุ่มก็ไม่ควรจะไปยุ่งเรื่องของอีกฝ่ายให้มากเกินไป
“ไม่ต้องเป็นกังวลนะลูก พ่อว่าอีกสักสองสามวันครูสวีก็น่าจะกลับมา”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปลอบถวนถวน ก่อนที่จะพาเด็กน้อยขึ้นรถและขับกลับคอนโด
ราว 6 โมงเย็น หลี่หรงทำอาหารเสร็จเรียบร้อยและทุกคนก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้า
“แม่หรง! หนูไม่ได้เจอครูสวีมาหลายวันแล้ว ถวนถวนคิดถึงครูสวี!”
“เอ๊? ครูสวีไม่ได้ไปโรงเรียนหลายวันแล้วงั้นเหรอพี่เขย?”
หลี่หรงเอ่ยถามอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าประหลาดใจ ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยอยากให้อีกฝ่ายเข้ามาวุ่นวายกับพี่เขยของเธอเพราะมั่นใจว่าสวีรุ่ย จะต้องชอบพี่เขยของเธอแน่ ๆ แต่อีกฝ่ายก็ดูแลหลานของเธอดีจนเธอปฏิเสธไม่ได้
“พี่ก็เพิ่งรู้เอาวันนี้เหมือนกัน เห็นเพื่อนร่วมงานของสวีรุ่ยบอกว่าเธอลางานไปแล้วหลายวัน ที่บ้านของเธอน่าจะมีปัญหาล่ะมั้ง”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับอย่างไม่แน่ใจสักเท่าไหร่
แต่แล้วในเวลาเดียวกันนี้ จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นและชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาก็คือคนที่พวกเขากำลังพูดถึงอยู่พอดี!
“ฮัลโหล สวีรุ่ย? มีอะไรงั้นเหรอถึงโทรหาผม?”
“ฉัน….ฉันอยากขอความช่วยเหลือ….จากคุณสักหน่อย…”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้นคล้ายกับว่ากำลังตื่นตระหนกและร้องไห้อยู่ทำให้เสียงบางช่วงมันขาด ๆ ไป
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังเผชิญกับปัญหาหนักพอสมควร
ถัดมาหลังจากเขาถามว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ที่ไหน อวี้ฮ่าวหรานก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีและพูดว่า
“หลี่หรง เธอกับถวนถวน กินกันไปก่อนเลย สวีรุ่ยน่าจะเผชิญเรื่องลำบากอยู่ พี่ขอออกไปดูสักหน่อย”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินออกจากห้องและลงลิฟท์ไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปอีกราวสิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ ขับรถเทียบจอดริมฟุตบาทบริเวณแถว ๆ ก่อนจะถึงสี่แยกแห่งหนึ่งกลางเมือง
เมื่อกวาดสายตามองอยู่สักพัก อวี้ฮ่าวหรานก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ข้างต้นไม้ริมถนนฟุบหน้าลงกับเข่าและร้องไห้สะอึกสะอื้น ซึ่งดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นอย่างมาก
เขารู้ได้ทันทีว่านั่นคือสวีรุ่ยแน่นอน
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ลงจากรถและเดินตรงปรี่เข้าไปหาทันทีก่อนจะถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากถามไปและรออยู่พักหนึ่งอีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบ อวี้ฮ่าวหรานจึงถามย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวมากกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้นคุณบอกผมมาสิ ถ้าหากผมช่วยได้ ผมจะช่วยอย่างเต็มที่”
เขาไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้ผู้หญิงคนนี้เศร้าจนถึงขนาดออกมาร้องไห้อยู่บนข้างถนนแบบนี้