บทที่ 256 ปัญหาในแผนกการผลิต
ผู้จัดการหวังถือโอกาสหยิบเรื่องเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมาพูดเพราะสิ่งนี้มันเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัท
“เพิ่มหุ่นยนต์อีกงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอีกฝ่าย ในตอนนั้นสาเหตุที่เขาซื้อหุ่นพวกนี้มาเป็นเพราะเขาต้องการแก้ปัญหาการประท้วงของพวกพนักงานในฝ่ายการผลิต
มันก็จริงอยู่หากเขาซื้อหุ่นมาเพิ่มมันจะทำให้กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
แต่…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่บรรดาพนักงานที่กำลังตั้งใจทำงานในฝ่ายการผลิต
“เรื่องซื้อหุ่นเอาไว้ก่อนเถอะ หากเราซื้อหุ่นมาเพิ่มตอนนี้มันจะทำให้เราจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานบางคน เอาไว้เมื่อจำเป็นเราค่อยมาคิดเรื่องนี้กันใหม่”
อวี้ฮ่าวหรานปฏิเสธความคิดของผู้จัดการหวัง
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังกลับไม่ยอมถอดใจเพราะมันมีเหตุผลเบื้องหลังที่เขาจำเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
“ท่านประธาน ผมเข้าใจว่าท่านกำลังคิดถึงพวกพนักงาน แต่การเพิ่มหุ่นเข้ามามันไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานเหล่านี้แม้แต่คนเดียว”
“โอ้? ถ้างั้นคุณลองอธิบายมา”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินประโยคนี้ เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที
“คือแบบนี้ครับท่านประธาน ขณะนี้ชื่อเสียงของสินค้าเรานั้นโด่งดังเป็นอย่างมาก จำนวนคำสั่งซื้อนั้นเพิ่มขึ้นทุกเดือนซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานกำลังการผลิตของเราจะไม่เพียงพอต่อความต้องการสั่งซื้อ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตเอาไว้ก่อนเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต”
“หรือจะพูดให้ชัดก็คือ การที่ผมเสนอให้เพิ่มหุ่นยนต์เข้ามาอีกไม่ใช่เป็นเพราะต้องการเอาหุ่นมาแทนคนงานและไล่คนงานออก แต่ผมแค่ต้องการให้นำหุ่นมาเพิ่มเพราะในอนาคตอันใกล้นี้ เราจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที และหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยสั่งออกไป
“ก็ได้ ถ้างั้นคุณไปติดต่อสั่งซื้อหุ่นมาอีกสองระบบ และจากนั้นไปทำการวิเคราะห์มาด้วยว่าไตรมาสหน้าเราจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกไหม”
อวี้ฮ่าวหรานจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับผู้จัดการหวังเอาไว้ก่อน เขาต้องชัดเจนว่าการนำหุ่นเข้ามานั้นไม่ใช่นโยบายเพื่อเอามาแทนที่พนักงานเดิมที่ยังทำงานอยู่ พนักงานแต่ละคนล้วนทุ่มเทให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก แถมบางคนยังทำงานที่นี่มาเป็นสิบปี เขาไม่ต้องการที่จะทำให้คนเหล่านี้ผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังคุยอยู่กับผู้จัดการหวัง พนักงานวัยกลางคนของฝ่ายการผลิตสองคนก็รวบรวมความกล้าและเดินเข้ามาหา
“ท่านประธาน!”
“หืม?”
อวี้ฮ่าวหรานซึ่งกำลังคุยอยู่กับผู้จัดการหวังหันไปหาพนักงานทั้งสองทันทีด้วยความสนใจ
“พวกเรามีบางอย่างอยากจะคุยกับท่าน!”
แม้แต่ผู้จัดการหวังก็ยังขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ พนักงานเหล่านี้ก็เดินเข้ามาพูดกับประธานของบริษัท
“หากพวกนายมีปัญหาอะไรพวกนายควรที่จะปรึกษากับหัวหน้าของพวกนายก่อนตามลำดับชั้น เพื่อที่หัวหน้าของนายจะได้ส่งรายงานขึ้นมา นี่เป็นกฎระเบียบของบริษัท พวกนายไม่รู้หรือไง?”
นี่คือกฎตามปกติที่ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ไหน ๆ ก็ใช้กัน
พยักงานทั้งสองเมื่อถูกตำหนิเช่นนี้สีหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนเป็นมืดหม่น แต่วันนี้พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าต้องพูดมันออกไปให้ได้
“ผู้จัดการหวัง ผมเข้าใจการทำแบบนี้มันข้ามขั้นตอนแต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับหัวหน้าของพวกเราเอง!”
“หัวหน้าของพวกคุณ?”
อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขายกมือขึ้นปรามไม่ให้ผู้จัดการหวังพูดอะไรต่อทั้งนั้น
“ใช่ครับท่านประธาน! ไม่นานมานี้หัวหน้าแผนกของพวกเราถูกเปลี่ยนคนใหม่ แต่หัวหน้าแผนกคนใหม่คนนี้แหละที่เป็นปัญหา! วัน ๆ เขาไม่ทำอะไรเลยนอกจากเอาแต่บังคับให้เราทำงานหนักทุกวัน โดยไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาใด ๆ เลยที่เกิดขึ้นในสายการผลิตจนตอนนี้การผลิตสินค้าเป็นไปด้วยความลำบากมากกว่าเดิมและมีปัญหาเพิ่มขึ้นมากมาย!”
หนึ่งในพนักงานเอ่ยขึ้นสีหน้าหดหู่และขุ่นเคืองต่อหัวหน้าคนใหม่
“ไม่สนใจอะไรเลยแถมยังไม่ช่วยลูกน้องแก้ปัญหาอะไรอีกด้วยงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วแน่นเมื่อสรุปเรื่องราวได้
แผนการผลิตเป็นเหมือนท่อน้ำเลี้ยงของบริษัทซึ่งมีความสำคัญแทบจะมากที่สุด เขาจะปล่อยให้มันมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้!
ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ซึ่งเขาก็เห็นว่าขณะนี้พวกพนักงานที่อยู่ในแผนกการผลิตแทบทุกคนต่างจ้องมาที่เขาเป็นสายตาเดียวกัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแววตาของพวกคนเหล่านี้คือการอ้อนวอนขอให้เขาแก้ไขปัญหาให้!
ดูจากแววตาคนเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ที่นี่กำลังเกิดปัญหาใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงหันไปหาผู้จัดการหวังด้วยอารมณ์หงุดหงิดทันที
“คุณรีบไปตามไอ้หัวหน้าแผนกการผลิตคนใหม่มาพบที่นี่เดี๋ยวนี้!”
“ข…เข้าใจแล้วครับท่านประธาน!”
ผู้จัดการหวังสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่หงุดหงิดของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกไปเพื่อตามหัวหน้าแผนกการผลิตคนใหม่มาทันที และแค่ไม่กี่นาทีผู้จัดการหวังก็พาชายร่างอ้วนคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ท…ท่านประธานครับ นี่คือหัวหน้าแผนกคนใหม่ของฝ่ายการผลิต…”
ผู้จัดการหวังรีบแนะนำอย่างรวดเร็ว
ทางด้านของชายร่างอ้วนยิ้มแฉ่งให้กับอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาก้มหัวก่อนที่จะทักทายอย่างประจบประแจง
“แหะ ๆ ท่านประธานอวี้ ผมไม่นึกเลยว่าท่านจะมาตรวจสอบที่แผนกของผมในวันนี้ ต้องขออภัยที่ผมไม่ได้ออกมาต้อน…”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รอตอบคำถามฉันแค่นั้นพอ!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจกับคำพูดประจบของอีกฝ่าย เขาตะคอกขัดขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ห…ห๊ะ?”
หัวหน้าแผนกคนใหม่รู้สึกงุนงงเมื่อโดนตวาดใส่
“ฉันขอถามแกสักหน่อย กำลังการผลิตทั้งหมดต่อเดือนของที่นี่คือเท่าไหร่? และอัตราของสินค้าที่มีตำหนิที่เราผลิตผิดพลาดนับเป็นกี่เปอร์เซ็นของสินค้าที่เราผลิตได้ต่อเดือน? และเมื่อวานเราผลิตสินค้าได้จำนวนกี่ชิ้น!”
อวี้ฮ่าวหรานจ้องเขม็งไปที่ชายร่างอ้วนตรงหน้าอย่างดุดันก่อนที่จะถามสามคำถามรวด ซึ่งถ้าหากเป็นหัวหน้าแผนกที่ใส่ใจในงานของตัวเองจริง ๆ ย่อมต้องตอบคำถามพวกนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา
“อ…เอ่อ…ผม…กำลังผลิต…ต่อเดือนของเราเพียงพอ…ส่วนสินค้าที่มีตำหนิ…อัตรามันอยู่ที่…อัตรามันอยู่ที่…”
หัวหน้าแผนกร่างอ้วนพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก ไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรเลย!
ผู้จัดการหวังที่เห็นเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
แม้แต่เขาเองยังรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ แต่หัวหน้าแผนกนี้โดยตรงกลับไม่รู้ได้ยังไง?
ไอ้อ้วนนี่มันไม่ได้เรื่อง!
มันไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่!
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วแน่นมากกว่าเดิม ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแผนกที่สำคัญที่สุดในบริษัทถูกดูแลโดยคนไร้ความสามารถขนาดนี้!
“ใครเป็นคนรับไอ้โง่นี่เข้ามา?”
อวี้ฮ่าวหรานหันไปถามผู้จัดการหวังด้วยสีหน้าเย็นชา
“เขา…เขา ก่อนหน้านี้เขาถูกรับเข้ามาโดยเผิงอิงอิง เขาเพิ่งเข้ามาทำงานตำแหน่งนี้ได้ครึ่งเดือนครับท่านประธาน…”
“ฮึ่ม! เผิงอิงอิง!!”
อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด นังผู้หญิงนั่นสร้างปัญหาให้เขาอีกแล้ว!
มันคงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้หญิงนั่น!
หลังจากตัดสินใจได้เรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ออกคำสั่งทันที
“ในเมื่อแกไร้ความสามารถขนาดนี้ฉันคงไม่เลี้ยงแกให้เปลืองข้าวสุก วันนี้แกไม่ต้องทำงานอีกแล้ว กลับไปเก็บข้าวของซะ แล้วออกไปจากบริษัทของฉัน!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ไอ้อ้วนนี่สร้างปัญหาอีกต่อไปดังนั้นเขาจึงจัดการไล่อีกฝ่ายออกในทันที ซึ่งแน่นอนว่าชายร่างอ้วนย่อมไม่ต้องการให้ตัวเองโดยไล่ออกไปทั้ง ๆ แบบนี้ เขาเอ่ยขึ้นเถียงทันที
“ม…ไม่ได้นะ! คุณจะไล่ผมออกไปแบบนี้ไม่ได้! เผิงอิงอิงรับผมเข้ามาทำงานแล้ว ผมมีสัญญาการจ้างอยู่ คุณไล่ผมออกทั้งแบบนี้ไม่ได้!”
ชายร่างอ้วนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาอุตส่าห์ใช้เส้นสายในการเป็นญาติกับเผิงอิงอิงเพื่อให้ได้งานที่แสนจะสบายแบบนี้มา มันเป็นงานในฝันของเขา ที่ซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากก่นด่าพวกลูกน้องไปวัน ๆ
หากเขาถูกที่นี่ไล่ออกเขาจะไปหางานดี ๆ แบบนี้ได้จากที่ไหนอีก?
“โอ้ ฉันไล่แกออกไม่ได้งั้นเหรอ? แกลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นเจ้าของบริษัทไม่ใช่นังเผิงอิงอิงอะไรนั่น! ในเมื่อแกพูดไม่รู้เรื่องนักงั้นฉันจะทำให้ชีวิตแกยากมากกว่าเดิมนับจากนี้!”
“ผู้จัดการหวัง! เรียกรปภ.ของเรามาลากไอ้เวรนี่ออกไปโยนทิ้งข้างนอก และหลังจากนี้คุณส่งประวัติของไอ้โง่นี่ไปให้กับทุกบริษัทคู่ค้าของเรา ให้ทุกบริษัทรู้ว่ามันไร้ความสามารถขนาดไหน!”
หลังจากสั่งจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดี
บรรดาพนักงานในแผนกการผลิตเมื่อเห็นภาพนี้ต่างก็กระโดดโลดเต้นอย่างเบิกบาน
“ฮ่า ๆ! ในที่สุดสวรรค์ก็มองเห็น! ในที่สุดไอ้เวรนี่ก็ถูกไล่ออก!”
“ท่านประธานยอดเยี่ยมที่สุด!”
“ฮ่า ๆ ครึ่งเดือนที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุด!”
“…”
ภายใต้เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีของบรรดาพนักงาน อวี้ฮ่าวหรานเดินออกจากแผนกการผลิต มุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศของเผิงอิงอิงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือตามหาตัวของอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้เขาไม่ถือสาเท่าไหร่เรื่องที่เธอพยายามยั่วยวนเขาหรือสร้างปัญหายิบย่อยในบริษัท
แต่คราวนี้อีกฝ่ายสร้างปัญหาใหญ่มากเกินไป เขายอมให้มันเกิดขึ้นอีกไม่ได้!
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็เดินไปถึงออฟฟิศของ เผิงอิงอิง แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไปแล้ว กลับไม่พบใครอยู่ในห้องเลย