บทที่ 277 สืบข้อมูล
บทที่ 277 สืบข้อมูล
อีกด้านหนึ่ง
ในรถ Bentley สีดำสุดหรูซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าบริษัทของอวี้ฮ่าวหราน
“นั่นคือบริษัทของไอ้อวี้ฮ่าวหราน!”
หลิ่วอวี้จิงชี้ไปที่ป้าย ‘เครือฮ่าวหราน’ และเอ่ยขึ้นแนะนำให้กับชายชราที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับกัดฟันกรอด
ชายชราที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ใช่ใครอื่น มันคือกงซุนซา หัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง หลังจากตกลงร่วมมือกันแล้ว หลิ่วอวี้จิงจึงจำเป็นต้องพาอีกฝ่ายมาดูสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศัตรูของพวกเขา
กงซุนซาพยักหน้าเล็กน้อย อันที่จริงเขาเองก็พอจะมีข้อมูลของอวี้ฮ่าวหรานอยู่บ้าง
“อืม จริง ๆ แล้วฉันเองก็เคยได้ยินชื่อของอวี้ฮ่าวหรานคนนี้มาบ้าง ในตอนที่โจวเฟยหู่ล้มแก๊งมังกรครามวันนั้น ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะมีส่วนร่วมไม่น้อยเลย”
“หืม? เป็นความจริงงั้นเหรอ?”
หลิ่วอวี้จิงอึ้งไปในทันที เขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย
ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ความสัมพันธ์ของอวี้ฮ่าวหรานและโจวเฟยหู่ มันจะใกล้ชิดกันมากกว่าที่เขาคิดไว้
“อืม อันที่จริงฉันรู้มาพอสมควร แต่ตอนนั้นฉันแค่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยก็แค่นั้นเอง”
กงซุนซาตอบกลับก่อนที่เขาจะเปิดประตูลงจากรถ
“ไปกัน ไปสำรวจดูบริษัทของไอ้หนุ่มนั่นสักหน่อย ฉันอยากรู้ว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน”
หลิ่วอวี้จิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็เปิดประตูลงจากรถและเดินตามกงซุนซา มุ่งหน้าไปยังบริษัทของอวี้ฮ่าวหราน
ในขณะนี้เป็นเวลาทำการของบริษัท ดังนั้นด้านในบริษัทจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำงาน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าบริษัทของ อวี้ฮ่าวหรานนั้นกำลังไปได้สวยมาก ๆ
“สวัสดี ไม่ทราบว่าคุณสองคนต้องการมาติดต่อเรื่องอะไร?”
ในทันทีที่กงซุนซาและหลิ่วอวี้จิงเดินมาถึงหน้าประตูสำนักงาน พวกเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหยุดเอาไว้อย่างสุภาพทันที
หลังจากได้รับการย้ำเตือนจากอวี้ฮ่าวหราน นโยบายของฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทจึงเปลี่ยนแปลงใหม่ ให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำตัวสุภาพมากขึ้นกับผู้คนที่ต้องการจะเข้ามาติดต่อ
กงซุนซาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปกระซิบกับหลิ่วอวี้จิงซึ่งอยู่ข้าง ๆ
“ดูสิ ไอ้หนุ่มนั่นมันแตกต่างจากเราอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ ในเรื่องทำธุรกิจ มันใส่ใจกับรายละเอียดในทุก ๆ อย่าง มันเป็นคนที่คิดได้รอบด้านดีจริง ๆ”
ไม่เหมือนกับกงซุนซาที่ยังคงใจเย็นและวิเคราะห์ทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม หลิ่วอวี้จิงพ่นลมหายใจอย่างดูถูกก่อนจะกระซิบกลับ
“ฮึ่ม พวกเราคือผู้แข็งแกร่ง ทำไมเราต้องสุภาพกับคนทั่วไปด้วย!”
“เฮ้อ…นายนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลยจริง ๆ ช่างเถอะ…”
กงซุนซาถอนหายใจก่อนที่จะหันไปหาเจ้าหน้าที่ และหยิบบัตรผ่านระดับ VIP ขึ้นมาจากในแขนเสื้อ
“เราผ่านเข้าไปได้ด้วยไอ้นี่ใช่ไหม?”
“ด…ได้แน่นอนครับ! ผมขออภัยด้วยจริง ๆ ที่ไม่ทราบว่าแขก VIP อย่างพวกคุณจะมา เนื่องจากผมไม่ได้รับแจ้งเอาไว้ก่อนเลย เชิญครับ เชิญด้านในได้เลย”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิ่งทำตัวสุภาพมากกว่าเดิมเมื่อเห็นบัตรผ่าน VIP เขารีบหลีกทางให้คนทั้งสองเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
หลังจากทั้งคู่เดินเข้าไปด้านในตึกสำนักงานแล้ว หลิ่วอวี้จิงก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
“ทำไมพี่กงซุนถึงได้มีบัตรผ่านได้?”
“ฮ่าฮ่า นายก็รู้นี่นาว่าฉันทำทั้งธุรกิจสีขาว สีเทา และสีดำ ดังนั้นการที่ฉันมีบัตรผ่านของเครือฮ่าวหรานมันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคู่ค้าของบริษัทนี้เช่นกัน!”
กงซุนซาหัวเราะขบขัน จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ห้องโถงที่ดูวุ่นวาย และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าชมเชย
“อวี้ฮ่าวหรานคนนี้ไม่ธรรมดาเลย แค่เพียงไม่กี่เดือนหลังจากได้รับการสืบทอดบริษัทต่อจากหลี่ชงซาน เขาก็ทำให้บริษัทที่ใกล้จะตายสามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด ความสามารถของเขาทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับจากใจจริง”
อย่างไรก็ตาม หลิ่วอวี้จิงกลับฮึดฮัดด้วยสีหน้าไม่พอใจอีกรอบ
“ฮึ่ม! ไม่เห็นจะน่าชื่นชมตรงไหนเลย! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการที่จะสร้างบริษัทให้ใหญ่โตขนาดนี้ได้ ไอ้อวี้ฮ่าวหรานมันจะต้องเป็นพวกนักธุรกิจฉ้อฉลเจ้าเล่ห์ มันคงทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์!”
ในขณะเดียวกับที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ หัวหน้าแผนกต้อนรับลูกค้าก็เดินมาทักทายพวกเขา และเสนอที่จะพาพวกเขาไปชมรอบ ๆ บริษัทและสายการผลิต
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องพาพวกเราไปดูถึงข้างในหรอก วันนี้ฉันแค่พาน้องชายมาดูที่นี่คร่าว ๆ ให้เขาได้เห็นภาพว่าที่นี่น่าร่วมทำธุรกิจด้วยขนาดไหน เดี๋ยวพวกฉันเดินดูอีกหน่อยก็กลับกันแล้วล่ะ”
หลังจากพูดจบ กงซุนซาก็โบกมือให้หัวหน้าแผนกต้อนรับและพาหลิ่วอวี้จิงเดินดูต่อไป ซึ่งหลังจากเดินดูไปได้อีกสักพัก เขาก็อดไม่ได้ที่เอ่ยชมขึ้นอีก
“บริษัทนี้มันยอดเยี่ยมจริง ๆ ไอ้หนุ่มนั่นเริ่มทำให้ฉันกลัว ๆ ซะแล้วสิ ฉันเกรงว่าในเมืองฮ่วยอัน คงไม่มีบริษัทไหนที่เกิดจากรวมตัวกันของหลายบริษัทที่ยอดเยี่ยมมากไปกว่าที่นี่อีกแล้ว”
คราวนี้ หลังจากเดินดูมาได้สักพัก หลิ่วอวี้จิงก็เริ่มเถียงไม่ออกเช่นกัน ไม่ใช่ว่าแก๊งของเขาจะไม่มีบริษัทที่ทำธุรกิจสีขาวเป็นของตัวเอง แต่บริษัทของอวี้ฮ่าวหรานนั้นยิ่งใหญ่กว่าพวกบริษัทเล็ก ๆ ของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้
“ไปกันเถอะ วันนี้พวกเรารู้มากพอแล้วเกี่ยวกับอวี้ฮ่าวหราน หลังจากนี้พวกเรากลับไปปรึกษากันต่อดีกว่าว่าจะเล่นงานไอ้หนุ่มนี่ยังไง!”
หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากตึกไป
แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ระมัดระวังตัวมากพอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าทั้งในตอนที่เขาเข้าไปในตึกและออกจากตึกนั้นมีใครบางคนกำลังจับตาดูพวกเขาอยู่จากระยะไกล
“ฮึ่ม! ไอ้สองคนนี้มันร่วมมือกันจริง ๆ ด้วย!”
ชายร่างผอมที่กำลังจับตากงซุนซาและหลิ่วอวี้จิงพึมพำกับตัวเอง
ชายร่างผอมคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก…หวังเหยียน!
ก่อนหน้านี้เขาได้รับแจ้งจากลูกน้องของตัวเองที่เป็นสายแฝงตัวอยู่ในแก๊งวาฬยักษ์ว่า กงซุนซาและหลิ่วอวี้จิงตกลงร่วมมือกันเรียบร้อย และมาที่บริษัทของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเขาจึงตามมาดูให้เห็นกับตาเพราะเขาไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว!
หวังเหยียนรู้สึกหนักใจเล็กน้อย จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหาโจวเฟยหู่อย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล? ว่าไง มีอะไรโทรมาหาฉันตั้งแต่เช้าเลย?”
โจวเฟยหู่รับสายด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“หัวหน้า พวกเราไปเจอกันที่ร้านอาหารร้านเดิม ผมมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทราบ!”
“เรื่องสำคัญงั้นเหรอ? ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากวางสายไปได้ครึ่งชั่วโมง หวังเหยียนและโจวเฟยหู่ก็ไปพบหน้ากันที่ห้อง VIP ของร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
“เป็นไปได้ยังไง!? ไอ้แก่กงซุน มันตกลงร่วมมือกับหลิ่วอวี้จิงเนี่ยนะ?”
โจวเฟยหู่แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่ากงซุนซาเป็นพวกเห็นแก่ตัวและไม่เคยยอมร่วมมือหรือแบ่งผลประโยชน์กับใคร ดังนั้นการที่จู่ ๆ ยอมร่วมมือกับหลิ่วอวี้จิง มันจึงเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ
แต่ถ้าหากสองแก๊งนี้ร่วมมือกันจริง เป้าหมายของพวกมันก็คงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากร่วมมือกันเล่นงานแก๊งพยัคฆ์เวหาของเขา!
หลิ่วอวี้จิงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ดังนั้นมันจะไม่แปลกเลยหากหลังจากนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาจะโดนรุมจากทั้งสองด้าน
“หวังเหยียน นายมีความคิดยังไงกับเรื่องนี้ นายพอจะมีความคิดอะไรดี ๆ บ้างไหม?”
เมื่อจู่ ๆ ได้ยินข่าวร้ายแบบนี้ โจวเฟยหู่รู้สึกสมองตื้อจนคิดอะไรยากกว่าเดิม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องขอคำแนะนำจากคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด
“ตอนนี้พวกเรายังคงทำอะไรไม่ได้ การร่วมมือกันของแก๊งวาฬยักษ์และฉลามคลั่งทำให้เราเสียเปรียบเต็มประตู และเมื่อไหร่ที่พวกนั้นลงมือโจมตีเราพร้อม ๆ กัน ผลลัพธ์ที่ออกมามันคงเป็นสิ่งที่เรารับไม่ไหว แต่มันก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีทางรอด เพราะหลิ่วอวี้จิงเข้าใจว่าอวี้ฮ่าวหรานเป็นพวกเดียวกับเรา ดังนั้นหลิ่วอวี้จิงจะต้องลงมือกับอวี้ฮ่าวหราน ด้วยแน่นอน และนั่นจะทำให้เรามีคนช่วยที่เหนือกว่าไอ้สองแก๊งนั่น”
“น้องอวี้ ถูกเหมารวมด้วยงั้นเหรอ? ถ้างั้น…”
เมื่อคิดไปเรื่อย ๆ โจวเฟยหู่ ก็เริ่มเห็นประกายแสงแห่งความหวัง เพราะถ้าหากอวี้ฮ่าวหรานช่วยเขารับมือกับแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง เขาก็พอมีหวังที่จะชนะ!
“หวังเหยียน เดี๋ยวนายรีบแจ้งเตือนคนของเราทุกคนทันที ให้พวกเขาอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมที่จะทำสงครามทุกเมื่อ!”