บทที่ 280 ถอนฟ้อง
บทที่ 280 ถอนฟ้อง
ในห้องขังนั้นไม่มีการประจบประแจง ไม่มีการประนีประนอม ไม่มีความสุขสบายแบบที่หลี่จิงเทียนเคยเจอมาในชีวิต ที่นี่มีแต่ความรุนแรง!
ในวันแรกที่เข้ามาที่นี่ เขาถูกอัดจนไม่กล้ามองหน้าใครตรง ๆ ซึ่งตามปกติเขามักจะมองคนอื่นอย่างจองหองเสมอ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวันต่อ ๆ มา เขาจะพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมไม่พูดคุยกับใคร ก็ยังตกเป็นเป้าโดนรังแกและเยาะเย้ยอยู่ดี
ในตอนนี้ หลี่จิงเทียนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาเป็นที่ปรึกษาของเครือฮ่าวหรานดี ๆ อยู่แล้ว ทำไมกลับโง่เขลาทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ในสถานที่เลวร้ายแบบนี้ด้วย!
สำหรับพี่เขยของเขาเอง เขาไม่กล้าโทษว่าความผิดนี้ของเขามันเกิดขึ้นจากอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายได้สร้างความกลัวจนมันฝังเข้าสมองของเขาไปเรียบร้อยจนหลี่จิงเทียนสาบานกับตัวเองว่านับจากนี้ หากเขาออกไปจากที่นี่ได้ เขาจะไม่มีวันทำเรื่องโง่ ๆ ต่ออวี้ฮ่าวหรานอีกแน่นอน
ในขณะเดียวกันนี้ จู่ ๆ ผู้คุมห้องขังก็เข้ามาตะโกนที่หน้าห้องขังผ่านลูกกรง
“หลี่จิงเทียน! ใครชื่อหลี่จิงเทียน เดินออกมานี่ มีใครบางคนมาเยี่ยมนาย!”
“ผ..ผม!!”
หลี่จิงเทียนรีบลุกขึ้นยกมือทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขาเอง หลายวันที่ผ่านมานี้เขาอยากเห็นหน้าพ่อของเขามาก ๆ
เขารู้สึกว่าคนที่มาเยี่ยมเขาจะต้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อของเขาเอง!
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คุมเห็นหน้าของหลี่จิงเทียน สีหน้าของผู้คุมก็อ่อนลงไปเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ กลายเป็นว่านายคือหลี่จิงเทียน ลูกหลานของตระกูลหลี่จริง ๆ เอาเป็นว่าหลายวันที่ผ่านมาฉันเข้มงวดกับนายมากไปหน่อย ฉันขอโทษด้วยก็แล้วกัน!”
“ห๊ะ?”
หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกผู้คุมชอบเข้ามาเยาะเย้ยเขาเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดขอโทษของผู้คุม สมองของเขาจึงประมวลผลไม่ทัน
“เอาล่ะ น้องชาย! วันนี้มีคนมาหานาย แต่ก่อนที่จะออกไปนายควรอาบน้ำสักหน่อย อ้อ ถ้าออกไปแล้วก็อย่าถือสาเรื่องที่ผ่านมาของเราก็แล้วกันนะ คิดซะว่าอโหสิฯ กันไป”
หลังจากเปิดประตูห้องขัง ผู้คุมก็ตบไหล่หลี่จิงเทียนเบา ๆ เป็นการประนีประนอม
สิ่งนี้ยิ่งทำให้หลี่จิงเทียนงุนงงมากกว่าเดิม แต่คนที่ตกตะลึงมากที่สุดของพวกคนที่ยังอยู่ในห้องขัง!
นี่ฉันหูฝาดไปใช่ไหม?
ไอ้ผู้คุมคนนี้มันใช่เหยียนหวังเย่จอมโหดจริง ๆ งั้นเหรอ?
มันขอโทษคนอื่นแบบสุภาพเป็นด้วยเหรอวะนั่น!?
หลังจากหลี่จิงเทียนและผู้คุมห้องขังจากไป ในห้องขังก็มีเสียงคุยกันดังสนั่น
“แม่งเอ๊ย! นี่ฉันได้ยินถูกแล้วใช่ไหม! ไอ้จอมโหดเหยียน มันเรียกไอ้ละอ่อนนั่นว่าน้องชายจริง ๆ ใช่ไหม!”
“ชิบหายแล้วไง! ถ้าไอ้ละอ่อนนั่นเป็นลูกหลานคนรวยจริง ๆ งั้นฉันซวยแน่! ฉันเคยสั่งให้มันนอนกอดโถส้วมทั้งคืน!”
“…”
อีกด้านหนึ่ง หลี่จิงเทียนที่อาบน้ำเสร็จแล้วค่อย ๆ เดินไปที่ห้องเยี่ยมผู้ต้องขังด้วยใจระทึก
มันเป็นห้องขนาดใหญ่คล้ายกับโรงอาหารซึ่งตามปกติแล้วห้องนี้จะค่อนข้างเงียบ แต่ในวันนี้มันกลับมีเสียงคนคุยดังเป็นพิเศษ
“ฮ่า ๆ พี่เฉิง เป็นพี่จริง ๆ ด้วย โธ่ ถ้าพี่จะมาพี่น่าจะบอกผมก่อนผมจะได้เตรียมต้อนรับพี่ตั้งแต่เนิ่น ๆ”
ชายวัยกลางที่อยู่ในชุดเจ้าหน้าที่หัวเราะขึ้นเสียงดัง
ที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะคืออวี้ฮ่าวหรานและเฉิงกัวอัน
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่มาเจอใครบางคนแค่เดี๋ยวเดียว แล้วฉันก็กลับแล้ว ฉันไม่อยากรบกวนนาย”
“ไม่ได้หรอกพี่ พี่เป็นผู้มีพระคุณของผมเชียวนะ!”
เฉิงกัวอันหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่เป็นมิตรของอีกฝ่าย จากนั้นเขาแนะนำตัวของอวี้ฮ่าวหราน
“นี่คือน้องชายของฉันเอง อวี้ฮ่าวหราน เขาเป็นประธานของเครือฮ่าวหราน ฉันคิดว่านายคงเคยได้ยินชื่อของเครือฮ่าวหรานมาบ้างแล้วใช่ไหม?”
“ฮ่า ๆ แน่นอน ๆ ผมเคยได้ยินมาแน่นอน เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งเป็นประเด็นข่าวใหญ่โตเลยนี่นา”
ชายวัยกลางคนตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นกันเอง
“แต่ฉันคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าประธานบริษัทที่ใหญ่โตจะเป็นคนหนุ่มขนาดนี้ เล่นเอาซะคนที่เกิดก่อนอย่างฉันอายไปเลย!”
ในขณะเดียวกันนี้ จอมโหดเหยียนก็เดินเข้ามากระซิบกับชายวัยกลางคน
“ท่านครับ ตอนนี้หลี่จิงเทียนพร้อมแล้ว ให้ผมนำตัวเขาเข้ามาที่นี่เลยไหม?”
“อืม! นำตัวเขาเข้ามาเลย อย่าช้า!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าและโบกมือสั่งทันที
แน่นอนว่าคนที่มีอำนาจสั่งหัวหน้าผู้คุมห้องขังได้แบบนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ชายวัยกลางคนผู้นี้คือพัสดีของสถานกักกันแห่งนี้นั่นเอง
พัสดีผู้นี้คือเพื่อนเก่าของเฉิงกัวอัน พวกเขาไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อยและเคยช่วยเหลือกันเมื่อในอดีตหลาย ๆ เรื่อง
สรุปแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านไปอีกสักพัก หลี่จิงเทียนก็ถูกนำตัวเข้ามา ซึ่งเขาตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าคนที่มาเยี่ยมเขาไม่ใช่พ่อของตัวเอง!
“พ…พี่เขย!?”
หลี่จิงเทียนอุทานขึ้นอย่างลืมตัว เขาไม่นึกเลยว่าคนแรกที่มาเยี่ยมเขาจะเป็นพี่เขยคนที่ควรเกลียดเขามากที่สุด!
คนในห้องทั้งหมดต่างมองไปที่หลี่จิงเทียน หลังจากได้ยินคำอุทาน
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยและกวักมือเรียก
“มานี่ มานั่งตรงนี้!”
หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าเขาจะปล่อยตัวของหลี่จิงเทียน ดังนั้นจึงพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมากกว่าเดิม
ด้วยความกลัวและความตกตะลึง หลี่จิงเทียนจึงไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ตามที่อวี้ฮ่าวหรานบอก
“พ…พี่เขย พ…พี่มาหาผมทำไมงั้นเหรอ???”
หลังจากก่อวีรกรรมเอาไว้หลายครั้ง เขาจึงรู้สึกกลัวอวี้ฮ่าวหรานจนขาสั่น ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมหัวหน้าผู้คุมห้องขังถึงพูดจากับเขาดีอย่างแปลกประหลาด ที่แท้พี่เขยของเขารู้จักกับพัสดีนั่นเอง!
“ฉันบอกให้มานั่งนี่!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล้าเข้ามาหาเพราะหวาดกลัว อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยขึ้นอีกรอบด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม ซึ่งมันทำให้หลี่จิงเทียนแทบจะทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นเพราะเข่าอ่อนจากความกลัว
ท้ายที่สุด หลี่จิงเทียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากค่อย ๆ เดินไปหาและนั่งลงฝั่งตรงข้ามอวี้ฮ่าวหราน
เขาไม่เข้าใจเลยว่าพี่เขยมาหาเขาทำไม
“อยู่ในนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง?”
อวี้ฮ่าวหรานเหล่มองก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
“ผ…ผม ก็…ดี…มันแค่…”
หลี่จิงเทียนตอบกลับเสียงเบาพลางเหลือบมอง พี่เขยของเขาเองและพัสดีที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาหวาดกลัว และไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไรพูดมาเลยไอ้หนุ่ม! ถ้านายถูกใครรังแกก็พูดมาฉันจะให้เจ้าหน้าที่ของฉันไปทวงความยุติธรรมให้เอง!”
พัสดีเอ่ยขึ้นเช่นนี้เพื่อเอาใจเฉิงกัวอัน เขาต้องการทำให้เพื่อนเก่าแก่ของคนนี้พึงพอใจมากที่สุด
“ผม…”
หลังจากผ่านการถูกทรมานมาหลายวัน หลี่จิงเทียนไม่หลงเหลือบุคลิกที่หยิ่งยโสและวางอำนาจอีกต่อไป ตอนนี้เขาไม่อยากมีปัญหากับใครอีกแล้ว
อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเวทนาในใจเช่นกันจนท้ายที่สุดเขาทนไม่ไหวและพูดตัดบท
“เตรียมตัวเอาไว้ นายจะได้ออกจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ และหลังจากนี้ก็จำเอาไว้ให้ดีด้วยว่าอย่าทำอะไรโง่ ๆ จนต้องกลับมาที่นี่อีก!”
“ห๊ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน หลี่จิงเทียนก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับทำตาโตทันที
เพราะการถูกฟ้องร้องจากเครือฮ่าวหราน เขาจึงถูกศาลชั้นต้นตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาสามปี ซึ่งตอนนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ แต่แล้วจู่ ๆ กลับจะได้ถูกปล่อยตัวแล้วงั้นเหรอ?
สิ่งนี้ทำให้หลี่จิงเทียนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ในขณะเดียวกันนี้ เฉิงกัวอันก็เอ่ยขึ้นเสริมด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพี่เขยของนายสงสารนาย ดังนั้นเครือฮ่าวหรานจึงถอนฟ้องทุกคดีที่ฟ้องนายทั้งหมด แต่ถ้าหลังจากนี้มีตำรวจคนไหนมาถามอะไรนาย นายก็จงตอบไปอย่างเดียวว่าไม่รู้ไม่เห็นก็พอ”
การที่เฉิงกัวอันเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้เป็นเพราะเขาต้องการให้หลี่จิงเทียนรู้ว่าควรสำนึกบุญคุณต่อใคร
“จ…จริงเหรอ!”
หลี่จิงเทียนแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองหลังจากได้ยินทั้งหมดนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อเขาคิดว่าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายมากกว่าที่สถานกักกันแห่งนี้ถึงสามปี เขามีความคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าจะได้เป็นอิสระหลังจากวันพรุ่งนี้ เขาจึงรู้สึกราวกับว่าเหมือนได้เกิดใหม่!