บทที่ 32 ตอบรับคำเชิญ
เมื่อเห็นว่าสวีรุ่ยตกอยู่ในอันตราย อวี้ฮ่าวหรานจอดรถที่ข้างทางทันที
ครูสวีคนนี้ดีกับลูกสาวของเขา ดังนั้นเขาจึงอยากจะช่วยเหลือ แต่ถ้าเป็นครูคนอื่นที่ไม่เคยช่วยอะไรลูกสาวของเขาล่ะก็ เขาไม่มีทางที่จะเข้าไปช่วยแน่ ๆ ในความคิดของเขาชะตากรรมความเป็นตายของมนุษย์ในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจำเป็นจะต้องสนใจ
เมื่อจอดรถแล้ว ก่อนลงจากรถอวี้ฮ่าวหรานหันกลับมาสั่งถวนถวนด้วยสีหน้าจริงจัง “ถวนถวน พ่อไม่อนุญาตให้ลูกลงจากรถ พ่อจะไปช่วยครูสวีเอง ลูกเข้าใจใช่ไหม?”
“หนูจะไม่ลง ๆ” ถวนถวนพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ถ้าเป็นในอดีต ถวนถวนจะไม่มีทางกล้ามีปัญหากับใครแบบนี้แน่นอน เพราะเธอไม่อยากสร้างปัญหาให้กับน้าหลี่หรงของเธอ แต่ตอนนี้หลังจากที่เด็กน้อยได้เห็นว่าพ่อของเธอเก่งกาจดุจเทพบนสรวงสวรรค์ เธอก็ไม่กลัวใครอีกแล้ว โดยเฉพาะพวกคนเลว
เธอไม่คิดว่ามันผิดเลยที่พ่อของเธอลงโทษพวกคนเลวด้วยกำลัง
ที่ด้านนอกรถ
“เฮ้น้องสาว! ฉันไม่คิดเลยว่าพ่อเน่า ๆ ของเธอจะมีลูกสาวที่สวยขนาดนี้อย่างเธอได้”
“โธ่ ๆ จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ หนี้ก็ยังไม่ใช้ คิดจะหนีงั้นเหรอ? ถ้าน้องหาเงินมาใช้หนี้ไม่ไหวงั้นเดี๋ยวพวกพี่พาไปหารายได้เสริมเอาไหม? พี่รับประกันเลยว่าหน้าตาอย่างน้องเนี่ยทำแค่ไม่กี่เดือนก็ใช้หนี้พวกพี่หมดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
“แต่ก่อนจะไปทำงาน พวกพี่คงต้องขอเก็บค่าทวงหนี้ก่อนนะจ๊ะ…”
อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้กลุ่มนักเลงที่ล้อมสวีรุ่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะนี้สวีรุ่ยรู้สึกสิ้นหวังสุด ๆ กับการที่ต้องถูกพวกแก๊งทวงหนี้รังควาน
“ลูกพี่ ดูเหมือนว่าจะมีคนอยากมายุ่งเรื่องของพวกเราด้วยแหะ”
ตอนนี้หนึ่งในพวกนังเลงสังเกตเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังเดินมุ่งตรงมาหาพวกเขา
เมื่อได้ยินคำเตือน พวกนักเลงก็หันไปมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“เฮ้ย! แกไปไกล ๆ เลย อย่ามายุ่งเรื่องของพวกฉันถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” นังเลงคนหนึ่งที่ย้อมผมหลากสีสัน ซึ่งดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเลงหันมาตะคอกใส่อวี้ฮ่าวหราน
แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำขู่แม้แต่น้อย เขายังคงเดินเข้าหากลุ่มนักเลงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ไอ้เวรนี่ ฉันบอกให้แกไสหัวกลับไปแกไม่ได้ยินหรือไง? แกหูหนวกหรือไงวะ? แกอยากเจ็บตัวมากใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามไม่ยอมถอยไปตามที่ขู่ หัวหน้าพวกนักเลงจึงโบกมือสั่งลูกน้องให้จัดการกับอวี้ฮ่าวหรานทันที
“เหอะ แกอยากเล่นบทฮีโร่ช่วยสาวงามงั้นเหรอ ได้! เดี๋ยวฉันจะอัดแกต่อหน้าสาวงามจนชาตินี้แกไม่กล้าทำตัวเป็นฮีโร่อีกเลยคอยดู!”
“อั่ก!!”
“กร๊อบ!”
“อ้ากก!!!”
ทันทีที่พูดจบประโยค นักเลงคนที่เพิ่งพูดล่าสุดก็ตัวลอยละลิ่วไปไกล 4-5 เมตรจากลูกถีบของอวี้ฮ่าวหราน
แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานยั้งแรงเอาไว้มาก เขาแค่หักกระดูกซี่โครงฝั่งตรงข้ามสัก 4-5 ซี่เพื่อเป็นการสั่งสอนเท่านั้น
บรรดานักเลงทั้งหมดเมื่อเห็นภาพที่สหายของตัวเองจู่ ๆ ก็ตัวลอยละลิ่วไป 4-5 เมตร แถมยังไม่เห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเคลื่อนไหวยังไง พวกเขาทำได้แค่ยืนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
สาเหตุที่พวกนักเลงไม่เห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเคลื่อนไหวยังไงเป็นเพราะเขาเร็วเกินกว่าที่ตามนุษย์ธรรมดาจะมองตามได้ทัน
จากนั้นอึดใจต่อมาร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หายไปอีกรอบ และเสียงร้องระงมก็ดังขึ้นติด ๆ กันราวกับคณะร้องเพลงประสานเสียง
แค่เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น บรรดานักเลงทั้งหมดยกเว้นคนที่เป็นลูกพี่ก็นอนโอดโอยอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัว
ตอนนี้หัวหน้ากลุ่มนักเลงมีแค่ประโยคเดียวผุดขึ้นมาในใจ
‘ชิบหายแล้วไง!’
หลังจากจัดการกับพวกลิ่วล้อเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่ยืนขาสั่นด้วยความหวาดกลัว
ทางด้านของหัวหน้านักเลง เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เข่าของเขาก็อ่อนยวบจนลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นพร้อมกับหลั่งน้ำตาอ้อนวอน
ชีวิตนี้เขาผ่านการมีเรื่องกับผู้คนมามากมาย แต่การที่เห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานสามารถล้มลูกน้องเขาเกือบสิบคนได้ภายในพริบตาแบบนี้มันเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้เกินไป และมันทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝั่งตรงข้ามแน่นอน
ฝั่งตรงข้ามไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจ!
“พ…พ…พี่ชาย! ป..โปรดปล่อยผมไปเถอะ ผมผิดไปแล้ว! พ่อของผู้หญิงคนนี้ติดเงินลูกพี่ของผม ผ..ผมก็แค่ทำตามคำสั่งให้มาทวงหนี้ก็เท่านั้น…จริง ๆ ผมไม่ได้อยากจะทำอะไรเลย!”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินว่าฝั่งตรงข้ามมาหาเรื่องสวีรุ่ยเพราะเรื่องทวงหนี้
รอบที่แล้วที่เขาสั่งสอนพวกแก๊งทวงหนี้ไปพวกมันยังไม่เข็ดอีกงั้นเหรอ?
วันนี้ถือว่าโชคดีเป็นอย่างมากที่ถวนถวนตาไวเห็นเหตุการณ์นี้ซะก่อน ไม่งั้นถ้าเขามาช่วยไม่ทันป่านนี้ชะตากรรมของสวีรุ่ยคงน่าสลดเป็นอย่างมาก
เมื่อคิดได้เช่นนี้อวี้ฮ่าวหรานก็เริ่มมีอารมณ์โมโห เขาง้างมือตบไปที่หน้าของหัวหน้ากลุ่มนักเลงที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่อย่างแรงจนฝั่งตรงข้ามกลิ้งหลุน ๆ ไปหลายตลบ พร้อมกับบ้วนฟันที่หักหลายซี่ออกจากปาก
“พ…พี่ชาย โปรดยกโทษให้ผมเถอะ ผมสาบานว่าผมจะไม่มารังควานเธออีกแล้ว…” หัวหน้ากลุ่มนักเลงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว เขาก้มหน้าอยู่ตลอดไม่กล้าสบตาอวี้ฮ่าวหรานแม้แต่น้อย
อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปใช้เท้าถีบร่างของหัวหน้านักเลงเบา ๆ ให้นอนหงาย เพื่อที่เขาจะได้มองหน้าได้ถนัด ๆ และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “กลับไปบอกลูกพี่ของแกว่านับจากนี้หากมีปัญหาอะไรให้มาตามหาอวี้ฮ่าวหราน ฉันไม่อนุญาตให้พวกแกมาตามรังควานคุณครูของลูกสาวฉัน”
เมื่อพูดจบอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สนใจพวกนักเลงอีก เขาเดินไปจูงสวีรุ่ยที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ในซอยเปลี่ยวเพราะอาการหวาดกลัวให้เดินตามเขาออกไปที่รถ
เมื่อขึ้นรถสวีรุ่ยรีบเอ่ยขอบคุณทันที “ค…คุณอวี้ ฉันขอบคุณจริง ๆ ฉันขอบคุณคุณมาก ๆ ถ้าไม่ได้คุณป่านนี้ฉันคงจะ…”
“คนที่คุณควรขอบคุณควรเป็นถวนถวนมากกว่า เพราะลูกสาวผมเป็นคนที่เห็นคุณกำลังโดนรังแก หากไม่ใช่เพราะลูกสาวผมตะโกนบอกป่านนี้ผมคงขับผ่านไปแล้ว” อวี้ฮ่าวหรานพูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ครูสวี พ่อของหนูสุดยอดไปเลยใช่ไหม! ฮี่ฮี่ฮี่”
เมื่อได้ยินพ่อของตัวเองยกความดีความชอบให้ ถวนถวนก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
“จ้า พ่อของถวนถวนสุดยอดที่สุด ครูขอบคุณถวนถวนนะที่ช่วยครูเอาไว้รอบนี้” สวีรุ่ยพูดขึ้นพร้อมกับลูบหัวถวนถวนด้วยความเอ็นดูมากกว่าเดิม
ในระหว่างที่อวี้ฮ่าวหรานขับรถอยู่ สวีรุ่ยก็อดไม่ได้ที่เหลือบมองไปหาเขาเรื่อย ๆ
ในขณะนี้เธอเริ่มมีความรู้สึกแปลก ๆ กับผู้ชายคนนี้ที่ช่วยเธอเอาไว้สองครั้งติดแล้ว
ดูไปดูมาผู้ชายคนนี้ก็หล่อดีเหมือนกันนะ?
นักเลงที่น่ากลัวพวกนั้นกลัวชายคนนี้ราวกับเห็นผี ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่?
ความคิดหลากหลายมากมายผุดขึ้นในหัวของเธอเรื่อย ๆ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาถึงคอนโดของเขา “เอาล่ะถึงแล้ว ครูสวีคุณรอในรถก่อน ผมจะขึ้นไปส่งถวนถวนสักครู่ แล้วเดี๋ยวหลังจากนั้นผมจะไปส่งคุณต่อ”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูลงจากรถและอุ้มถวนถวนขึ้นไปบนห้อง
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ อวี้ฮ่าวหรานก็กลับลงมาที่รถ เขาวางแผนว่าจะไปส่งสวีรุ่ยให้ถึงหน้าบ้าน เพราะเขาไม่แน่ใจว่านักเลงพวกนั้นจะมารบกวนเธออีกหรือเปล่า
หลังจากขับรถออกไปราวครึ่งชั่วโมง อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถไปถึงหน้าบ้านสวีรุ่ย
“คุณช่วยฉันเอาไว้อีกแล้ว ขอบคุณมากจริง ๆ แต่ว่ามันคงจะดีมากหากวันนี้คุณเข้าไปในบ้านสักหน่อย ให้ฉันได้รินชาให้คุณสักถ้วย”
เมื่อโดนเชิญอีกรอบแบบนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงรู้สึกว่ามันไม่เสียหายอะไรถ้าเขาจะตอบรับคำเชิญของฝั่งตรงข้ามสักหน่อย เขาพยักหน้าและเดินเข้าไปในบ้านของสวีรุ่ย
เมื่อเห็นเช่นนี้สวีรุ่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เกิดมา 20 กว่าปี เธอไม่เคยชวนผู้ชายคนไหนเข้าบ้านของเธอเลย
ด้านในบ้านของเธอไม่ใหญ่นัก แต่มันสะอาดและของต่าง ๆ ก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งมันทำให้แขกที่มาเยือนบ้านไม่รู้สึกอึดอัดเลยถึงแม้ว่าพื้นที่ใช้สอยภายในจะไม่ใหญ่อะไรมากก็ตาม
“คุณไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวก่อนไม่ต้องเกรงใจ ฉันขอไปเก็บของและชงชาให้คุณสักครู่ เดี๋ยวฉันมา”
สวีรุ่ยพาอวี้ฮ่าวหรานไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ ซึ่งมีเก้าอี้สองตัว จากนั้นเธอก็ไปเก็บข้าวของที่ห้องของเธอและเดินหายเข้าไปในครัว
อันที่จริงตอนนี้เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องทำตัวยังไงเมื่อมีชายหนุ่มมาที่บ้านของเธอแบบนี้ และโดยเฉพาะชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่เธอเริ่มหวั่นไหวด้วยอีกต่างหาก