บทที่ 347 คาดเดา
บทที่ 347 คาดเดา
“หึหึ แต่บังเอิญว่านายไม่มีความแข็งแกร่งเท่าฉันคนนี้ไง นายก็เลยต้องวางแผนและดำเนินการอย่างระมัดระวังในทุกขั้นตอนเหมือนอย่างที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปทำกัน”
กงซุนซาสั่งให้คนของตัวเองปิดม่านและพูดขึ้นพลางหัวเราะ
เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากเสมอ และบ่อยครั้งที่ศัตรูของเขาตายโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือภัยคุกคามที่อยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งที่ตัวเองลงมือคือการลงมืออย่างเฉียบขาดและหวังผลถึงตาย!
“แล้วสรุปคราวนี้พี่กงซุนเห็นอะไรบ้าง?”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วอวี้จิงรู้สึกจนใจ ตอนนี้เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่คล้อยตามไปอย่างไม่มีทางเลือก
“จากเมื่อครู่ที่ฉันสังเกตไอ้เด็กคนนี้ดูเหมือนว่ามันจะอยู่ในจุดสุดยอดของขอบเขตพลังภายใน และถ้าหากเทียบกับนาย ไอ้เด็กนี่มันแข็งแกร่งกว่านายมาก”
“ตรงนี้แหละที่ผมไม่เข้าใจ! ผมเองก็อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน แต่ทำไมผมกลับแข็งแกร่งไม่เท่ามัน ผมไม่เข้าใจเลย!”
หลิ่วอวี้จิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสับสน ครั้งล่าสุดที่เขาสู้กับอวี้ฮ่าวหราน เขาใช้กำลังเต็มสิบส่วนแล้วแต่เขาก็เทียบไม่ได้กับอีกฝ่ายเลย
“การที่มันเป็นแบบนั้นก็มีคำอธิบายเดียวก็คือ ไอ้เด็กนี่เคยได้รับการชี้แนะจากตัวตนลึกลับที่น่ากลัว ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่คนอย่างนายซึ่งฝึกฝนด้วยตัวเองจะสู้มันไม่ได้ คนที่ได้รับการชี้แนะมาเป็นอย่างดีย่อมแข็งแกร่งกว่าคนที่ฝึกมาอย่างไม่ถูกหลักที่แท้จริง การที่มันแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ฉันไม่เชื่อว่ามันจะไม่มีตัวตนลึกลับหนุนอยู่เบื้องหลัง”
“นี่…แต่ผมตรวจสอบประวัติมันแล้ว มันเป็นแค่ลูกเขยของตระกูลหลี่ เท่านั้นเองนี่นา ส่วนญาติพี่น้องของมันก็ไม่มีเลย…”
หลิ่วอวี้จิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายนี้ คำอธิบายของกงซุนซามันขัดแย้งกับข้อมูลที่เขามี
แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มไร้ญาติจะสามารถฝึกฝนได้จนแข็งแกร่งขนาดนี้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว
อย่างไรก็ตาม อันที่จริงเขาเคยได้รับคำแนะนำจากผู้บ่มเพาะมาก่อน แต่คนผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะหากเทียบกับเขาในตอนนี้ ซึ่งด้วยความรู้ที่เขาได้รับการถ่ายทอดต่อมาไม่มากนัก เขาจึงต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนักนานกว่า 20 ปีเพื่อให้ถึงจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน
“ดูเหมือนว่านายไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดจริง ๆ ไม่งั้นนายต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้วไอ้เด็กนี่มันหายตัวไปสามปีเต็มและมันเพิ่งโผล่มาได้เกือบปี ซึ่งหลังจากกลับมา ตัวของมันเปลี่ยนไปในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ในการทำธุรกิจ หรือแม้แต่ความแข็งแกร่งที่น่าประหลาดของมันเอง”
กงซุนซาค่อย ๆ บอกข่าวที่เขาสืบมาเอง
“มันหายตัวไปงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ หลิ่วอวี้จิงก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น ความสนใจของเขาเพิ่มขึ้นในทันใด
หากเป็นกรณีนี้ มันเป็นไปได้ที่ในระหว่างอีกฝ่ายหายตัวไปอาจจะได้ไปเจอกับปรมาจารย์ลึกลับและได้รับการถ่ายทอดวิธีการบ่มเพาะที่เหนือล้ำมาจนกลายเป็นคนละคนจากคนเดิม
อย่างไรก็ตาม ทั้งเขาและกงซุนซาต่างนึกไม่ถึงว่าจริง ๆ แล้ว อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้หายไปแค่สามปี แต่อวี้ฮ่าวหรานไปใช้เวลาอยู่ที่ดินแดนแห่งเทพมากกว่าสามหมื่นปี!
ชื่อเสียงของจักรพรรดิเทพฮ่าวหรานได้ดังก้องไปทั่วชั้นฟ้าและปฐพี!
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกได้ว่าเขาไม่ถูกจ้องมองอีกแล้ว เขาก็หันกลับมาที่ชายวัยกลางคนและโยนร่างของอีกฝ่ายออกไปกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง
“ไสหัวไปให้พ้น!”
ชายวัยกลางคนกระอักเลือดออกมาคำโต แขนของเขาก็หักจากการกระแทกกับกำแพง แต่ก็ไม่บ่นแม้แต่น้อย
เขาจะกล้าบ่นคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ยังไง!
“ไปเร็วพวกเรา! รีบไปให้พ้นหน้าพี่ชายคนนี้เร็ว!”
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน! มาช่วยกันอุ้มลูกพี่ด้วยสิวะ ลูกพี่เจ็บจนยืนไม่ได้แล้ว!”
ด้วยความตื่นตระหนก พวกนักเลงต่างพยายามฝืนเจ็บลุกขึ้นและพยุงพวกของตัวเองหนีจากไปอย่างทุลักทุเล
“ฮ่าวหราน คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ เลย!”
ทันทีที่เขากลับขึ้นรถ เฉิงชิวอวี้ก็ชมเขาอย่างตื่นเต้น…
ยอดเขาแฝดที่นุ่มนิ่มเบียดติดแขนเขาทันที!
“เอ่อ…เดี๋ยวผมต้องขับรถ”
เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจจะเกิดขึ้น อวี้ฮ่าวหราน ค่อย ๆ แกะมือของเฉิงชิวอวี้อย่างมีมารยาท ก่อนที่จะสตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งออกไป
เฉิงชิวอวี้ไม่โกรธเคืองสักนิด
ทุกครั้งที่เธออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ เธอมักจะรู้สึกว่าความงามและฐานะของเธอไม่มีผลอะไรเลยกับอีกฝ่าย อีกฝ่ายมองเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ เท่านั้น
ถ้าหากผู้ชายแบบนี้รักเธอเขาแล้วล่ะก็ เขาจะรักเธอโดยไม่มีข้อแม้ไปจนวันตายแน่นอน!
ไม่นานรถซุปเปอร์คาร์สีเหลืองสดใสก็จอดที่ด้านนอกร้านอาหาร
“ที่นี่แหละ! ครั้งล่าสุดที่ฉันมากินกับเพื่อน ร้านนี้มันอร่อยมาก ๆ เลย!”
เฉิงชิวอวี้ลงจากรถทันที และลมก็พัดมาทำให้ผมของเธอพลิ้วไหว ซึ่งเธอรู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยเหตุผลบางอย่าง
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สังเกตเห็นอาการผิดแปลกของอีกฝ่าย และเดินนำเข้าไปในร้านอาหาร
หากมองจากด้านนอกร้านนี้ไม่ได้หรูหรามากนัก แต่เมื่อเข้าไปด้านใน เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าร้านนี้หรูหรามากจากการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงมากมาย
“คุณสุภาพบุรุษและคุณสุภาพสตรีมาแค่สองคนใช่ไหมคะ?”
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในร้าน พนักงานเสิร์ฟก็รีบเดินมาต้อนรับทันทีอย่างสุภาพ
จากนั้นทั้งสองคนก็เลือกโต๊ะริมหน้าต่างและนั่งลง
“ฮ่าวหราน คาเวียร์ของที่นี่อร่อยมากเลยล่ะ!”
ทันทีที่พวกเขานั่งลง เฉิงชิวอวี้ก็เริ่มสั่งอาหาร
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและทำท่าทางสบาย ๆ
แต่ในขณะที่เฉิงชิวอวี้กำลังสั่งอาหารอย่างมีความสุข อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินบทสนทนาที่บริเวณหน้าร้านซึ่งดึงดูดความสนใจของเขา
“หาที่นั่งที่ดีที่สุดให้ฉัน! ฉันต้องการที่นั่งริมหน้าต่าง!”
“โอ้ นายน้อยจิน! ยินดีต้อนรับสู่ร้านของเราอีกครั้ง!”
“ฮ่า ๆ ตาแก่ นายนี่เหมือนสุนัขจริง ๆ ทันทีที่ฉันมา นายก็วิ่งมาหาฉันทันทีเลย! ฮ่า ๆ”
ที่ประตู ชายหนุ่มผู้มีใบหน้ายียวนเอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างหยิ่งผยอง
ส่วนคนที่ทักทายเขาดูเหมือนจะเป็นผู้จัดการของร้านนี้
ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกเปรียบเทียบกับสุนัข แต่เขากลับไม่โกรธเลย
สีหน้าของเขากลับดูประจบสอพลอซะมากกว่า
“โธ่ นายน้อยจิน คุณอุตส่าห์มาเยือนร้านผม ผมจะไม่ออกมาต้อนรับได้ยังไง?”
ผู้จัดการร่างท้วมวัยสี่สิบปลายกำลังยิ้มกว้างอยู่อย่างเสแสร้งในเวลานี้
เมื่อเห็นฉากนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในเวลานี้ลูกค้าที่กำลังทานอาหารบางคนก็ขมวดคิ้วและพูดคุยกัน
“ระวังให้ดี นั่นคือนายน้อยจินผู้โด่งดังของละแวกนี้! เขาเป็นคนนิสัยเลวทราม! อย่าทำให้เขาขุ่นเคือง”
“คราวที่แล้วฉันจำได้ว่าเขาเคยมีเรื่องกับผู้ชายคนหนึ่งตรงถนนใกล้ ๆ และท้ายที่สุดเขาสั่งให้ลูกน้องของตัวเองหักขาผู้ชายคนนั้นทั้งสองข้างอย่างโหดเหี้ยม…”
“เราไม่ควรยุ่งกับคนคนนี้ ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวของเขาไม่เพียงแต่มีเงินเท่านั้น แต่ครอบครัวของเขายังเกี่ยวดองกับพวกแก๊งใต้ดินอีกด้วย”
“…”
ฝูงชนกระซิบและพูดคุยกันเสียงเบาด้วยความกลัวว่าจะมีคนได้ยิน