บทที่ 47 โง่เง่า
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของน้องสาวตัวเอง หลี่จิงเทียน ก็คิดว่ามันเข้าแผนตัวเองเต็มๆ!
“หลี่หรง น้องยังจำได้ใช่ไหมว่าไอ้อวี้ฮ่าวหรานมันเป็นต้นเหตุทำให้พี่สาวของพวกเราตายไป ฉะนั้นหากเรายังอยู่ใกล้ๆ ตัวซวยอย่างมันเราก็คงจะตายเหมือนกัน น้องควรจะแยกจากมันให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวน้องเอง!”
หลี่จิงเทียน คิดว่าตอนนี้น้องสาวของเขาน่าจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกันกับเขา ดังนั้นเขาจึงพยายามโน้มน้าวเต็มที่
ในทางกลับกัน หลี่หรง เมื่อได้ยินแบบนี้แววตาของเธอที่มองไปยัง หลี่จิงเทียน กลับเปลี่ยนเป็นดูถูกอย่างฉับพลัน
“พี่! ฉันไม่คิดเลยจริงๆว่าพี่จะโง่เง่าและขี้ขลาดได้ถึงขนาดนี้! แถมพี่ยังเอาแต่โทษคนอื่นไม่ยอมหันมองดูตัวเองบ้าง พี่นี่มันเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุดเลยรู้ตัวรึเปล่า! ฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ ฮ่าวหราน ฉันจะอยู่เคียงข้างเขาไปจนถึงที่สุด!”
ประโยคนี้ที่ออกมาจากปากของ หลี่หรง มันแทงใจ หลี่จิงเทียนเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกไม่พอใจทันที ทำไมทุกคนถึงชอบด่าว่าเขาโง่นักนะ? ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดอะไรนักแต่เขาก็ไม่ได้โง่เง่าไปกว่าคนทั่วไปใช่รึไง?
คนรอบๆ ตัวเขาต้องโดนไอ้เวรอวี้ฮ่าวหรานล้างสมองมาแน่นอน!
“หลี่หรง นี่เธอเป็นบ้าอะไรของเธอถึงได้หลงไอ้อวี้ฮ่าวหรานหัวปักหัวปำขนาดนี้? เธอไม่เข้าใจรึไงว่าอีกไม่นานมันก็ตายแล้ว!”
“หลี่จิงเทียน!”
ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหราน ก็เดินกลับเข้ามาในห้องพอดี ซึ่งเขามาทันได้ยินประโยคที่ หลี่จิงเทียน พูดเมื่อครู่
“ผลั่ก!”
ด้วยความโมโห อวี้ฮ่าวหราน เตะเข้าไปที่ลำตัวของ หลี่จิงเทียน จนลงไปนอนกองกับพื้นเพื่อสั่งสอน
“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! หากแกยังพูดจาอะไรไร้สาระต่อหน้าฉันอีก ฉันจะหักขาแกให้เป็นคนพิการไปตลอดชีวิต!”
หลังจากโดนเตะ หลี่จิงเทียน ใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะลุกขึ้นได้อย่างยากลำบาก เขาต้องเอาหลังพิงกำแพงเพื่อทรงตัวให้ยืนขึ้นได้
“อวี้ฮ่าวหราน! แกทำร้ายฉันอีกแล้ว! คนอย่างแกมันก็ดีแต่ทำร้ายตระกูลหลี่!”
“ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
อวี้ฮ่าวหราน ไม่ต้องการให้ หลี่จิงเทียน พูดจาไร้สาระกับ หลี่หรง ต่อไป โดยเฉพาะตอนนี้ที่เธอต้องการพักฟื้น ดังนั้นเขาจึงปล่อยกลิ่นอายของร่างเทวะเพื่อกดดัน หลี่จิงเทียนให้ยอมจำนน
แน่นอนว่าเมื่อ หลิงจิงเทียน รู้สึกเหมือนถูกอากาศรอบ ๆ ตัวบีบอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกและเผชิญกับสายตาที่น่ากลัวของ อวี้ฮ่าวหราน เขาก็รีบวิ่งออกไปจากห้องพิเศษของโรงพยาบาลทันทีด้วยสีหน้าตื่นกลัว
หลังจาก หลี่จิงเทียน หนีไป บรรยากาศภายในห้องก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
“เมื่อกี้พี่จิงเทียนบอกว่า พี่ถูกนักฆ่าไล่ล่า พี่เป็นอะไรมากรึเปล่า!”
เมื่อตัวปัญหาจากไปแล้ว หลี่หรง เอ่ยถาม อวี้ฮ่าวหราน ทันทีด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องนี้มันเล็กน้อยมากสำหรับพี่ อย่าไปเอาคำพูดของคนอื่นเก็บมาคิดให้มากนัก”
จากนั้นเมื่อทั้งคู่คุยกันไปอีกสักพัก หมอและหลี่ชงซาน ก็เดินเข้ามาในห้องและเมื่อหมอตรวจอาการของหลี่หรงอีกรอบและยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไรมากแค่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลสัก 2-3 วัน ก็หายเป็นปกติ หลี่ชงซาน จึงสบายใจและกลับบ้านได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ถวนถวน ในตอนนี้กลับยังไม่ฟื้นแต่เมื่อได้ยินหมอวินิจฉัยอีกครั้งว่าเธอไม่เป็นอะไร นอนพักอีกสักหน่อยก็จะฟื้นขึ้นมาเอง อวี้ฮ่าวหราน จึงพอจะโล่งใจ
แต่เพื่อความปลอดภัยของคนทั้งคู่ อวี้ฮ่าวหราน จึงตัดสินใจนอนรออยู่ที่โรงพยาบาลเฝ้าทั้งคู่เอาไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด
3 วันต่อมา
หลี่หรง หายกลับมาเป็นปกติเรียบร้อย แต่ถวนถวนกลับยังคงอยู่ในอาการหมดสติไม่ฟื้นสักที สิ่งนี้ทำให้ อวี้ฮ่าวหราน รู้สึกเริ่มกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อเขาไปเรียกหมอมาอีกรอบ หมอกลับบอกคำเดิมว่ามันคือเรื่องปกติเดี๋ยวลูกสาวของเขาก็ฟื้น
“พี่เขย พี่กลับบ้านไปพักเอาแรงก่อนเถอะ ทางนี้เดี๋ยวฉันอยู่เฝ้าถวนถวนให้เอง”
หลี่หรงที่ยังคงอยู่ในชุดผู้ป่วยพยายามโน้มน้าวให้อวี้ฮ่าวหรานกลับบ้านด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
3 วันที่ผ่านมานี้ เธอเห็นตลอดว่า อวี้ฮ่าวหราน เอาแต่ดูแลเธอกับถวนถวนจนไม่ได้พักเลย ดังนั้น เธอจึงเป็นห่วงอยากจะให้เขากลับไปพักสักหน่อย
ทางด้านของ อวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็เอาแต่ยิ้มและส่ายหัว
“ไม่ได้น่ะพี่เขย! ขืนพี่ยังดื้อไม่ยอมกลับไปพักแบบนี้ ถ้างั้นวันนี้ฉันจะพา ถวนถวน กลับบ้านไปพร้อมกับพี่เลย ไหน ๆ หมอก็บอกแล้วว่าถวนถวนไม่เป็นอะไรถ้างั้นพวกเราก็กลับไปพร้อมๆ กันเนี่ยแหละ!”
หลี่หรง รู้สึกหมดหนทางจริง ๆ กับความหัวรั้นของ อวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเธอจึงต้องขู่เขาแบบนี้
เธอรู้สึกเป็นห่วงพี่เขยของเธอจริง ๆ 3 วันแล้วที่พี่เขยของเธอไม่ได้นอนเลย เธอกลัวว่าเขาจะล้มป่วยไปอีกคน
อวี้ฮ่าวหราน รู้สึกจนใจเมื่อเห็นแบบนี้ จริง ๆ แล้วในตอนนี้เขาไม่ได้อ่อนล้าเลยสักนิด ต้องรู้ว่าเขาคือผู้บ่มเพาะซึ่งมีพลังวิญญาณในร่างคอยเกื้อหนุน ต่อให้เขาไม่นอนหลับเป็นเดือนเขาก็อยู่ได้แบบสบาย ๆ
แต่เหตุผลนี้มันก็ยากที่จะอธิบายให้ หลี่หรง เข้าใจได้จริง ๆ
ดังนั้นเมื่อโดนตื๊อเข้ามาก ๆ อวี้ฮ่าวหราน ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับปาก หลี่หรง ว่าจะกลับคอนโดไปพัก 2 วันแล้วค่อยมาใหม่อีกรอบหากถวนถวนยังไม่ฟื้น
จากนั้นเมื่อ อวี้ฮ่าวหราน กลับไปถึงคอนโด จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ถึงจี้หยกที่เขาซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน เขารีบหยิบมันออกจากกระเป๋ากางเกงทันที
ตอนนี้เขากำลังต้องการความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากเพราะมันมีหลายอย่างที่เขาอยากทำแต่ทำไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจพอ ด้วยจี้หยกนี้มันน่าจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกพอสมควร!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหราน รีบเดินกลับเข้าไปในห้องของเขาเองอย่างรวดเร็วและเริ่มทำการดูดซับพลังวิญญาณที่อยู่ในจี้หยกทันที
วันต่อมาทั้งวัน อวี้ฮ่าวหราน ก็ยังคงนั่งดูดซับพลังวิญญาณในจี้หยกจนกระทั่งถึงตอน 4 โมงเย็น พลังวิญญาณในจี้หยกถึงหมดไป
อวี้ฮ่าวหราน ลืมตาขึ้นและมองไปที่จี้หยกที่ไร้พลังวิญญาณในมือไปเรียบร้อยด้วยความประหลาดใจ
“ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะถูกขายในที่แบบนั้น”
เขาไม่นึกจริง ๆ ว่ามันจะมีพลังวิญญาณอัดแน่นอยู่มากถึงขนาดที่เขาต้องใช้เวลา 1 วันเต็ม ๆ ในการดูดซับ นับได้ว่าของสิ่งนี้มันล้ำค่าเหนือราคาของมันจริง ๆ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ อวี้ฮ่าวหราน ก็วางแผนว่าจะออกไปข้างนอกเพื่อเอาจี้หยกอันนี้ไปขายต่อสักหน่อย
ตอนนี้จี้หยกมันเป็นเพียงแค่ของเก่าธรรมดา ๆ ไปแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกนอกจากขายต่อ
หลังจากหลายวันที่เขาอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนี้รถของเขาถูกซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงขับมันไปที่ตลาดขายของเก่าอีกแห่งซึ่งเปิดในช่วงเย็นถึงดึก
อวี้ฮ่าวหราน เลือกร้านที่ดูน่าเชื่อถือที่สุด จากนั้นเขาเดินเขาไปเสนอขายจี้หยกของเขาทันที
“โอ้ จี้หยกชิ้นนี้ของดีนี่นา!”
เจ้าของร้านขายของเก่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน ท่าทีของเขาดูจริงใจเป็นอย่างมากแตกต่างจากเจ้าของร้านขายของเก่าคนอื่น ๆ ที่มักจะดูเจ้าเล่ห์และชอบประเมินของให้กดราคากว่ามูลค่าจริง ๆ ของมัน
“ผมให้คุณ 350,000 หยวน ก็แล้วกัน นี่มากสุดเท่าที่ผมจะให้ได้แล้ว!” หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เจ้าของร้านก็เอ่ยราคาขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
อวี้ฮ่าวหราน ลอบสังเกตท่าทีเจ้าของร้านอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเขาเห็นว่าฝั่งตรงข้ามไม่ได้โกหกอะไร เขาจึงพยักหน้าตกลงที่จะขายตามราคาที่เจ้าของร้านขายของเก่าเสนอให้
ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหราน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันในใจเพราะจี้หยกนี้เขาซื้อมันต่อจาก ซูหว่านเอ๋อ ในราคาแค่ 150,000 หยวน เท่านั้น นี่มันผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้นเองที่เขาทำกำไรได้เกินเท่าตัว!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไอ้เจ้าของร้านขายของเก่าตัวอ้วนนั่นถึงอยากได้จี้หยกนี้คืนจาก ซูหว่านเอ๋อ ขนาดนั้น
หลังจากขายจี้หยกเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหราน ก็เดินดูของเก่าในตลาดอีกพักใหญ่และเมื่อเห็นว่าไม่มีของเก่าชิ้นไหนที่เข้าตา เขาจึงเดินกลับออกไป
ในระหว่างขับรถกลับบ้าน เมื่อ อวี้ฮ่าวหราน ติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็น สวีรุ่ย กำลังยืนซื้อผลไม้อยู่ข้างทางพอดี
“อันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้ด้วย ขอบคุณค่ะ”
เหมือนโชคชะตาเป็นใจ ในขณะที่ สวีรุ่ย กำลังจะควักเงิน สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรถของ อวี้ฮ่าวหราน ที่จอดติดไฟแดงอยู่ไม่ไกล
“เอ๊ะ? นั่นมันรถของพ่อถวนถวนนี่นา?”
ทางด้านของ อวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามเห็นเขาแล้ว เขาจึงลดกระจกข้างลงและทักทาย “ครูสวี กำลังซื้อผลไม้กลับบ้านอยู่งั้นเหรอ?”
“เฮ้! นี่คุณรีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าตอนนี้ ถวนถวนเป็นยังไงบ้าง? แล้วทำไมหลายวันมานี้คุณถึงไม่รับโทรศัพท์ของฉันเลยสักครั้ง!”