บทที่ 59 หลี่จิงเทียนเนรคุณ
“บริษัทชงซานถูกขายให้กับตระกูลอู๋?”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกงุนงงกับคำตอบนี้ แผนการรอบที่แล้วของตระกูลอู๋เพิ่งจะถูกล้มไปอย่างไม่เป็นท่า มันไม่มีทางที่ตระกูลอู๋จะมีแผนเด็ด ๆ แบบใหม่เร็วขนาดนี้ได้
“จะเป็นใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้หลี่จิงเทียนไอ้ลูกสารเลว ไอ้คนทรยศตระกูล!”
“สาเหตุที่บริษัทชงซานถูกตระกูลอู๋ซื้อไปได้สำเร็จ มันเป็นเพราะ ไอ้ลูกระยำของฉันมันแอบไปทำสัญญาขายลับหลังฉันผู้นี้!”
หลี่ชงซานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโมโหจนแทบกระอักเลือด
เขาไม่นึกเลยว่าลูกชายแท้ ๆ ของเขาจะทำแบบนี้กับเขา! อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินแบบนี้ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่เห็นหลี่จิงเทียนอยู่ที่นี่เช่นกัน
ทางด้านของหลี่หรง ในตอนแรกเธอก็ประหลาดใจเหมือนกัน เมื่อรู้เรื่องนี้ ถึงแม้เธอจะรู้ว่าพี่ชายของเธอเป็นพวกเหลวแหลกไม่ได้ความและอารมณ์ร้อน แต่ที่ผ่านมาพี่ชายของเธอก็เคารพพ่อมาก
เธอไม่นึกเลยว่าพี่ชายของเธอจะหันมาแทงพ่อของตัวเองได้แบบนี้
“พ่อ มันจะเป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด? พี่จิงเทียน ไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้ได้หรอกจริงไหม?”
“เหอะ! มันจะไม่เป็นความจริงได้ยังไง ฉันเห็นเอกสารซื้อขาย ทั้งหมดแล้ว และทุกฉบับมันก็มีลายเซ็นของไอ้เวรนั่นทั้งหมด ต่อให้ฉันตายเหลือแต่เถ้าฉันก็ยังจำได้ว่าลายเซ็นของมันเป็นยังไง!”
หลี่ชงซานตวาดกลับด้วยสีหน้าเดือดดาล เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขาก็ดูเหมือนจะไร้สมองไปอีกคน
“ถ้างั้นมันเป็นไปได้ไหมที่พี่รองจะถูกบังคับโดยตระกูลอู๋?” หลี่หรงยังคงไม่ปักใจเชื่อว่านี่มันเป็นความคิดของพี่ชายเธอจริง ๆ
แต่แล้วในเวลาเดียวกัน จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
“โกรธมาก ๆ ระวังจะอกแตกตายนะครับคุณลุงหลี่!”
คนที่เดินนำกลุ่มเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เขาคืออู๋เส้าฮัวนั่นเองซึ่งมาพร้อมกับหลี่จิงเทียน และบอดี้การ์ดอีกกลุ่มใหญ่
อู๋เส้าฮัวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย แต่เมื่อเขามองสำรวจและเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานอยู่ที่นี่ด้วย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที
ตอนนี้เขาทั้งเกลียดทั้งกลัวอวี้ฮ่าวหราน ไม่นานมานี้เขาเพิ่งโดน อวี้ฮ่าวหรานหักแขนมาแต่นั่นยังไม่พอ ! เพราะเมื่อไม่กี่วันที่แล้วพ่อ ของเขาก็โดนอวี้ฮ่าวหรานเล่นงานจนต้องนอนโรงพยาบาลเช่นกัน เขารู้สึกเกลียดชังอวี้ฮ่าวหรานจนอยากจะพุ่งเข้าไปกัดคอให้ตาย แต่ความกลัวในใจของเขามันห้ามตัวของเขาเอาไว้ได้ทัน
“หลี่จิงเทียน ไอ้ลูกสารเลว!”
ในขณะเดียวกัน เมื่อหลี่ชงซานเห็นหน้าลูกชายของตัวเอง เขาพลันตะโกนเสียงดังลั่นทันทีจนทำให้หลี่จิงเทียนสะดุ้งตกใจด้วยความกลัว
“ไอ้ลูกทรยศ แกทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง! แกเอาบริษัทที่ฉันสร้างมาทั้งชีวิตไปขายให้กับศัตรูของตระกูลได้ยังไง!!”
ด้วยความโมโห หลี่ชงซานอยากจะกระโจนไปบีบคอหลี่จิงเทียน ให้ตายคามือตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“พ่อ ผม..”
“อย่าบังอาจมาเรียกฉันว่าพ่อ! ฉันไม่มีลูกชั่ว ๆ อย่างแก!”
“พ่อ! ที่ผมทำลงไปมันเพื่อตระกูลทั้งนั้น!”
หลี่จิงเทียนหวาดกลัวกับท่าทีของหลี่ชงซานเป็นอย่างมากจนเขาแทบจะเข่าอ่อน ตั้งแต่เขาเกิดมาเขายังไม่เคยเห็นพ่อของเขาโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย เมื่อได้ยินคำตอบนี้ของลูกชายตัวเอง หลี่ชงซานก็ถึงกับโกรธจนหัวเราะ
“ฮ่าฮ่า ไหน… งั้นแกลองบอกฉันมาทีว่าไอ้สิ่งที่แกทำลงไปมันช่วยตระกูลหลี่ยังไง?”
“ผม…ผม…ก็มันเป็นเพราะไอ้เวรอวี้ฮ่าวหรานนั่นแหละที่ทำให้ ผมตัดสินใจทำแบบนี้! มันสร้างปัญหาให้กับตระกูลของเรามากมายจนตอนนี้พวกเรามีศัตรูอยู่ทั่วไปหมด สักวันมันจะลากตระกูลของเรา ไปอยู่ก้นเหวแน่นอน!”
“พ่อ! ทุกคน! โปรดเชื่อใจผม การที่ทุกคนเชื่อใจไอ้อวี้ฮ่าวหราน เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ คนอย่างมันมีแต่จะลากพวกเราไปสู่หายนะ!”
หลี่จิงเทียนรู้สึกว่ายิ่งตัวเองพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเชื่อว่าตัวเองถูกมากเท่านั้น
ใช่!
สิ่งที่เขาทำมันถูกต้องแล้ว แค่ตอนนี้พ่อของเขาและคนอื่นๆ ในตระกูลยังคงไม่เข้าใจเขาเท่านั้น!
“ที่ผมทำแบบนี้เป็นเพราะผมกังวลต่ออนาคตของบริษัทชงซาน ดังนั้นผมเลยขายมันให้กับคุณอู๋ไปก่อน แต่คุณอู๋เขาได้สัญญากับผมเอาไว้แล้วว่า หลังจากนี้เขาจะปล่อยให้ผมเป็นคนบริหารอย่างเต็มตัว”
“พ่อคอยดูผมนะ ผมทำให้บริษัทชงซานรุ่งเรืองกว่าเดิมได้แน่นอน!”
หลังจากพูดจบ หลี่จิงเทียนมองไปที่บรรดาสมาชิกในตระกูลหลี่ด้วยสายตาคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะคล้อยตาม
แต่น่าเสียดายที่ความเป็นจริงที่เขาเห็นก็คือทุกคนต่างมองเขา ด้วยสายตาดูถูกและรังเกียจ ทุกคนมองเขาเหมือนมองคนโง่ปัญญาอ่อนซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
“ทุกคนกำลังถูกไอ้อวี้ฮ่าวหรานหลอก จริง ๆ แล้วมัน…”
“เพี้ยะ!”
อวี้ฮ่าวหรานซึ่งรำคาญมากพอแล้วพุ่งตัวไปตบหน้าหลี่จิงเทียน จนหน้าหัน
“ก่อนหน้านี้ฉันรู้ว่าแกโง่ แต่ฉันไม่นึกเลยว่าความโง่ของแกมันจะเถิดเลยมาได้ถึงขนาดนี้”
ในเวลานี้ หลี่หรงที่เคยเชื่อในตัวของหลี่จิงเทียนก็มองเขาด้วยสายตาผิดหวังอย่างรุนแรง
เอาบริษัทขายให้กับศัตรู แต่ยังหวังว่าศัตรูจะยอมให้ตัวเองดูแลบริษัทเหมือนเดิม?
ตอนนี้เธอไม่รู้จะเปรียบเทียบความโง่ของพี่ชายเธอกับตัวอะไรดี เธอไม่เคยเห็นความโง่เง่าถึงระดับนี้มาก่อน
“ฮ่าฮ่าฮ่า อวี้ฮ่าวหราน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้แกจะชนะฉันมาตลอด แต่คราวนี้ฉันต้องขอบอกเลยว่าแกแพ้ฉันแล้ว! ฮ่า! ชัยชนะนี่มันช่างหอมหวานซะจริง ๆ!”
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ฉันรับประกันว่าฉันจะดูแลบริษัทชงซานเป็นอย่างดีเลยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
น้ำเสียงของอู๋เส้าฮัวเต็มไปด้วยการเย้ยหยันและประชดประชัน ตอนนี้เขารู้สึกภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถเอาชนะได้ทั้งอวี้ฮ่าวหราน และหลี่ชงซานได้ ในคราวเดียว
ผลงานขนาดนี้แม้แต่พ่อของเขาก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!
หลี่ชงซานเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็เข้าใจความหมายของฝั่งตรงข้ามได้ทันทีว่าไอ้คำว่า ‘ดูแลบริษัทซงซานเป็นอย่างดี’ มันหมายความว่าจะค่อย ๆ ทำลายบริษัทของไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ
นั่นมันบริษัทที่เขาใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิตในการสร้างมา! เมื่อถึงจุดนี้ หลี่ชงซานก็ถึงกับโกรธจนหน้ามืดเป็นลมหมดสติไปในทันที
“พ่อ!”
หลี่หรงตะโกนลั่น เธอรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อของเธออย่างรวดเร็ว
“พ่อ พ่อเป็นอะไรน่ะ!”
เมื่อเห็นว่าพ่อของตัวเองเป็นลมไป หลี่จิงเทียนตื่นตระหนก อย่างฉับพลัน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้วิ่งไปหาหลี่ชงซาน เขากลับถูกหยุดไว้โดยบอดี้การ์ดของอู๋เส้าฮัว
“อู๋เส้าฮัว ปล่อยฉัน พ่อของฉันหมดสติไปแล้ว!”
“หึหึ นับจากนี้แกเป็นคนของฉันแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่แกจะต้องไปสนใจพ่อของแกอีก!”
อู๋เส้าฮัวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย เขามองไปที่หลี่จิงเทียน ด้วยแววตาดูถูก
ไอ้โง่นี่มันหลอกง่ายยิ่งกว่าเด็กอนุบาลซะอีก!
อวี้ฮ่าวหรานใช้เนตรเทวะมองไปที่หลี่ชงซานที่เพิ่งสลบไป และเมื่อเขาเห็นว่าฝั่งตรงข้ามไม่เป็นอะไรมาก เขาก็เบนสายตากลับไปที่อู๋เส้าฮัวพร้อมกับคิดในใจ
ดูท่าต้องทำอะไรสักอย่าง บริษัทชงซานจะต้องไม่ถูกขายไปแบบนี้!
ไม่เพียงแต่บริษัทนี้เป็นผลงานของพ่อตาของเขาที่ทุ่มแรงกายแรงใจมาครึ่งค่อนชีวิต แต่ในอนาคตเขาจำเป็นต้องใช้บริษัทนี้ทำเงินเหมือนกัน
หลังจากคิดคำนวณอยู่ได้สักพัก อวี้ฮ่าวหรานจึงโทรออกหา เฉิงกัวอันอีกครั้ง
ด้วยทรัพย์สินของบริษัทของเฉิงกัวอัน มันน่าจะพอซื้อบริษัท ลูกของตระกูลอู๋ได้สัก 2-3 บริษัท ซึ่งถ้าเขาให้เฉิงกัวอันซื้อบริษัทของ อู๋เส้าฮัวที่เพิ่งซื้อบริษัทชงซานไป มันก็น่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้จริงไหม?
หลังจากคิดได้แบบนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงโทรปรึกษากับเฉิงกัวอัน
หลังจากคุยกันไปได้สักพัก ด้วยบุญคุณที่อวี้ฮ่าวหรานมีต่อ ฝั่งตรงข้าม เฉิงกัวอันจึงตอบรับว่าจะช่วยอย่างจริงใจ แต่เฉิงกัวอัน บอกว่าจำเป็นต้องใช้เวลาราวครึ่งวันเพื่อกดดันบอร์ดบริหารของบริษัทของอู๋เส้าฮัวให้ตัดสินใจขาย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ภายในหนึ่ง หรือสองชั่วโมง หลังจากพูดคุยตกลงกันเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานจึงวางสายไปและ มองไปที่อู๋เส้าฮัวด้วยสายตาเย้ยหยันอีกครั้ง