ในตอนแรก อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดปฏิเสธเงินที่ฝั่งตรงข้ามมอบให้ แต่เมื่อเขาเห็นจำนวนเงินเขาก็รู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเลย
มันแค่ 2 ล้านหยวนเท่านั้น
ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทหลายบริษัทแล้ว ดังนั้นเงินจำนวนแค่นี้มันจึงไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับเขา
“ผมซาบซึ้งมากกับน้ำใจของพี่โจวที่ส่งเงินจำนวนนี้มาให้ แต่เงินนี้มันไม่จำเป็นหรอก”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานส่งเช็คคืนไปแล้วพูดต่อ
“แต่มันคงจะดีเป็นอย่างมากหากพวกคุณช่วยผมให้ได้รับบัตรเชิญเข้าไปในตึกประมูลของเก่าแห่งนี้”
“บัตรเชิญ?”
หวังเหยียนที่กำลังจะปฏิเสธเช็คเงินสดที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังส่งคืนมา เขาพลันรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอใหม่ของฝั่งตรงข้าม
“ใช่ ผมอยากจะเข้าไปด้านในเพื่อซื้อพวกของโบราณต่าง ๆ”
เมื่อได้ยินอวี้ฮ่าวหรานเอ่ยย้ำแบบนี้ หวังเหยียนระเบิดเสียงหัวเราะทันทีพร้อมกับโบกมือแสดงท่าทางให้อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องเป็นกังวล
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นท่าทางของฝั่งตรงข้าม
หลังจากหัวเราะเสร็จ หวังเหยียนหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาจากนั้นเขาโทรออกไป ซึ่งหลังจากนั้นไม่เกิน 5 นาที ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทก็เดินออกมาจากตึกที่จัดงานประมูล
“โอ้ ลมอะไรหอบน้องหวังมาถึงที่นี่ได้ล่ะเนี่ย? ทำไมจะมาแล้วถึงไม่โทรมาบอกก่อน ชายแก่คนนี้จะได้ออกมารอต้อนรับตั้งแต่แรก?”
ทันทีที่ชายชราเห็นหน้าหวังเหยียน เขาพลันเอ่ยทักทายก่อนด้วยสีหน้าเป็นมิตรทันที
“อ้อ ไม่ใช่หรอกผู้จัดการเจา ผมไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปข้างในหรอก แต่น้องชายของผมคนนี้อยากเข้าไปต่างหากแต่เผอิญว่าเขาไม่มีบัตรเชิญเขาก็เลยเข้าไปไม่ได้” หวังเหยียนตอบกลับพร้อมกับส่งสายตาไปทางอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“โอ้ นี่มันแค่เรื่องเล็ก! เดี๋ยวชายแก่ผู้นี้จะบอกให้คนไปเตรียมห้องวีไอพีเอาไว้ให้ทันทีเลย!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเหยียน ผู้จัดการเจาผู้นี้แสดงท่าทีให้เกียรติเป็นอย่างมาก
จากนั้นผู้จัดการเจาก็รีบเชิญทั้งอวี้ฮ่าวหรานและหวังเหยียน ให้เข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตำหนิพนักงานต้อนรับหญิงเล็กน้อยเพื่อเป็นการไว้หน้าอวี้ฮ่าวหราน
ทางด้านหวังเหยียน เมื่อถูกคะยั้นคะยอหลายรอบให้เข้าไปด้วย เขาจึงรู้สึกว่าหากปฏิเสธไปมันจะดูน่าเกลียดดังนั้นเขาจึงสั่งให้ลูกน้องของเขากลับไปรายงานโจวเฟยหู่ก่อน ส่วนตัวเขาก็เข้าไปด้านในกับอวี้ฮ่าวหราน
“น้องอวี้ ฉันได้ยินลูกพี่เล่ามาว่านายอัดพวกนักเลงสิบกว่าคนจนลงไปกองที่พื้นหมดภายในเวลาไม่ถึง 10 วิ นายนี่สุดยอดจริง ๆ เลยรู้ตัวรึเปล่า ฮ่าฮ่า!”
“คนพวกนั้นอ่อนประสบการณ์กว่าผมก็แค่นั้น”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับอย่างถ่อมตัว ในเมื่อฝั่งตรงข้ามดูจริงใจและสุภาพกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้หวังเหยียนรู้สึกต่ำต้อยมากกว่าเขาเกินไปนัก
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในห้องวีไอพีและนั่งลงเรียบร้อยได้สักพัก ม่านที่ปิดเวทีอยู่แต่เดิมก็ค่อย ๆ เปิดออกซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มการประมูล!
“ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย นี่คือจอกสุราสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อ 400 กว่าปีก่อน จอกสุราใบนี้ถูกตรวจสอบและยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญแล้วว่ามันเคยเป็นของแม่ทัพชื่อดังคนหนึ่งในราชวงศ์หมิง…”
หลังจากที่ของประมูลชิ้นแรกนำออกมาวางบนโต๊ะที่อยู่ตั้งอยู่บนเวที อวี้ฮ่าวหรานพลันใช้เนตรเทวะของเขามองผ่านกระจกห้องวีไอพีตรวจสอบมันทันที
จอกสุรานี้เป็นของแท้จากราชวงศ์หมิงแน่นอน แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีพลังวิญญาณสถิตอยู่เลย…
“ที่นั่งเบอร์ 22 เรียกที่ 280,000!”
“350,000!”
“400,000!”
“…”
ผู้คนที่เข้าร่วมการประมูลนี้ได้มีแต่พวกเศรษฐีกระเป๋าหนักทั้งนั้น ดังนั้นการประมูลราคาจึงรุนแรงเป็นอย่างมาก
ท้ายที่สุดจอกสุรานี้ถูกประมูลออกไปที่ราคา 800,000 หยวน
ของประมูลชิ้นที่ 2 ที่ถูกนำออกมาคือถาดทองเหลืองที่มีลวดลายสวยงาม
มันถูกอธิบายว่าเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นมาจากราชวงศ์โจว แต่น่าเสียดายที่อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่เห็นว่ามีพลังวิญญาณสถิตอยู่ในมันเหมือนกับของชิ้นที่แล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยความสวยงามและเก่าแก่ของมัน ราคาเปิดประมูลของมันจึงถูกตั้งเอาไว้ซะสูงลิ่ว
ราคาเปิดประมูลนั้นสูงถึง 1.9 ล้านหยวน และสุดท้ายมันถูกประมูลออกไปในราคา 4.8 ล้านหยวน
จากนั้นของอีกหลายชิ้นก็ถูกเอาออกมาประมูลเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของแท้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีชิ้นไหนเลยที่มีพลังวิญญาณสถิตอยู่
แน่นอนว่าเมื่อไม่มีชิ้นไหนมีพลังวิญญาณสถิต อวี้ฮ่าวหราน จึงไม่เคยเอ่ยปากร่วมประมูลเลยสักชิ้น
สิ่งนี้ทำให้หวังเหยียนรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่ว่าอวี้ฮ่าวหรานมาที่นี่เพื่อซื้อพวกของโบราณงั้นเหรอ? แล้วทำไมตอนนี้กลับไม่เอ่ยประมูลอะไรเลยสักชิ้น?
หรือว่าเขามีเงินไม่พอก็เลยไม่ได้เอ่ยปากสู้ราคาไป?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเหยียนจึงเอ่ยเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ “น้องอวี้ อันที่จริงหากอยากได้อะไรบอกพี่ก็ได้ ตอนนี้พี่มีเงินอยู่กับตัวราว 5 ล้านหยวน เอาไว้นายมีเมื่อไหร่ค่อยหามาคืนพี่ทีหลังก็แล้วกัน”
“ไม่ใช่ผมไม่ได้ขาดเงิน มันก็แค่ของพวกนี้ไม่ควรค่าที่จะซื้อก็แค่นั้น” อวี้ฮ่าวหรานส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยให้กับหวังเหยียนและตอบกลับ
ฝั่งตรงข้ามคิดว่าเขาไม่มีเงินสินะ?
น่าตลกจริง ๆ!
ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทชงซานและบริษัทอื่น ๆ อีก 2-3 บริษัทซึ่งมันหมายความว่าตอนนี้เขาคือคนที่รวยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของเมืองฮ่วยอันแน่นอน
ก็ของพวกนี้ที่เอาออกมาประมูลมันไม่มีพลังวิญญาณสถิตอยู่เลย …แล้วแบบนี้เขาจะซื้อมันมาทำอะไร?
หวังเหยียน เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็อยากจะอธิบายกลับไปว่า ของโบราณทุกชิ้นที่เอาออกมาประมูลที่นี่มันล้วนแล้วแต่เป็นของจริงและอยู่ในสภาพที่ดีทั้งหมด ดังนั้นพวกมันจะไม่ควรค่าแก่การสะสมได้ยังไง?
แต่เมื่อเขาเห็นสายตาที่ดูไม่ได้ล้อเล่นของอวี้ฮ่าวหราน หวังเหยียนก็จึงกลืนคำพูดของตัวเองกลับไป
“ของประมูลที่ทางเราจะนำเสนอชิ้นต่อไปคือกำไลหยกชิ้นนี้! ถึงแม้ว่ารูปร่างของมันจะดูธรรมดา แต่ผู้เชี่ยวชาญของเราตรวจสอบแล้วว่ามันเป็นของเก่าอย่างมากจนไม่สามารถทราบได้ว่ามันเก่ามากขนาดไหน…”
เมื่อเห็นกำไลหยกชิ้นนั้น ดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปล่งประกายทันที นี่มันคือของที่เขากำลังตามหาอยู่!
ในทางกลับกัน หวังเหยียนกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าขบขันว่า “เหอะ ๆ นี่มันน่าตลกจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าการประมูลรอบนี้จะมีของน้อยจนถึงขนาดต้องเอากำไลหยกธรรมดา ๆ แบบนี้ออกมาวางประมูลด้วย? อายุของมันก็ไม่บอกว่าอายุเท่าไหร่ แล้วแบบนี้ใครเขาจะกล้าซื้อ? อยากรู้จริง ๆ ว่าสุดท้ายแล้วมันจะขายได้เท่าไหร่กัน”
เหมือนดั่งคำที่หวังเหยียนกล่าวเอาไว้ ราคาแรกที่มีคนขานออกมามันต่ำซะจนเมื่อเทียบกับของชิ้นที่แล้วกำไลชิ้นนี้คือของระดับต่ำไปเลย
“150,000!”
“180,000!”
“230,000!”
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ สถานการณ์มันก็น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันดันมีคนขานราคาสู้จริง ๆ
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันทีเพราะเขาเดาได้เลยว่าคนที่กำลังขานราคาสู้อยู่รู้ว่าแท้จริงแล้วกำไลหยกชิ้นนี้มันมีดีซ่อนอยู่
โดยไม่มีการลังเล อวี้ฮ่าวหรานกดใส่จำนวนตัวเลขราคาและส่งคำสั่งออกไปสู้ประมูลทันที
“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 4 ประมูลราคา 1 ล้านหยวน!”
เมื่อได้ยินราคานี้ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงประมูลหันหน้ามามองทางห้องวีไอพีหมายเลข 4 ทันที
แทบทุกคนต่างรู้สึกงุนงงว่าทำไมถึงมีคนกล้าประมูลกำไลหยกธรรมดา ๆ อันนี้ในราคาถึง 1 ล้านหยวน?
แต่แล้วในชั่วอึดใจถัดมา พนักงานประมูลที่อยู่บนเวทีก็ขานขึ้นอีกรอบ
“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 2 ประมูลราคา 1.2 ล้านหยวน!”
คำพูดนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงประมูลแตกตื่น
“นี่มันบ้าไปแล้ว กำไลหยกธรรมดา ๆ อันนั้นมีมูลค่าถึง 1.2 ล้านได้ยังไง?”
“ใช่ กำไลหยกแบบนั้นอย่างมากก็ไม่น่าจะมีมูลค่าเกิน 1 แสน หรือว่าพวกเขาแค่ต้องการจะอวดร่ำอวดรวยกัน?”
“…”
มีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายดังขึ้นทั่วห้องโถง แต่มันไม่ใช่เพราะว่าฝูงชนเหล่านี้อิจฉาเพราะไม่มีปัญญาควักเงินราคานี้ แต่มันเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่ากำไลหยกชิ้นนี้มันไม่คู่ควรกับราคาหลักล้านเลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นตามมาเพราะห้องวีไอพีทั้งสองต่างประมูลสู้กันแบบไม่หยุดหย่อน
“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 4 เสนอราคา 1.5 ล้านหยวน!”
“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 2 เสนอราคา 1.8 ล้านหยวน!”
แต่แล้วก่อนที่อวี้ฮ่าวหรานจะขานราคาสู้ต่อ หวังเหยียนก็จับแขนรั้งเขาเอาไว้พร้อมกับพูดเตือน
“น้องอวี้ กำไลหยกนี้มันเป็นของกำไลหยกธรรมดา ๆ เท่านั้น อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำให้นายเสียเงินมากโดยเปล่าประโยชน์เลย”
หวังเหยียนเข้าใจไปว่าสาเหตุที่อวี้ฮ่าวหรานประมูลสู้อย่างบ้าเลือดแบบนี้ เป็นเพราะโมโหที่มีคนมาประมูลราคาแข่ง ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานต้องการชนะการประมูลนี้เพื่อรักษาหน้าของตัวเอง
“ของธรรมดางั้นเหรอ?” ฮวี้ฮ่าวหรานถามกลับพร้อมกับหัวเราะแบบเย้ยหยัน จากนั้นเขามองไปยังทิศทางที่ห้องวีไอพีหมายเลข 2 ตั้งอยู่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ของบางอย่างมันต้องดูดี ๆ ถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันมีค่ามากกว่าตาเห็น!”
“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 4 เสนอราคา 2.2 ล้านหยวน!”
บรรดาเศรษฐีที่ร่วมการประมูลด้วยต่างมองหน้ากันเองด้วยความงุนงง
นี่มันบ้าไปแล้ว!
ทำไมถึงมีคนยอมประมูลกำไลหยกบ้า ๆ นี่ในราคาถึง 2 ล้าน?
อย่างไรก็ตามการประมูลก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุด
“ผู้มีเกียรติห้องวีไอพีหมายเลข 2 เสนอราคา 3 ล้านหยวน!”