บทที่ 98 กดดัน
“จริงเหรอแม่หรง?”
ถวนถวนปาดน้ำตาก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“แน่นอนแม่หรงพูดจริง ๆ เมื่อก่อนตอนที่แม่หรงยังเป็นเด็กตัวเท่าถวนถวน แม่หรงก็ทำอาหารได้แย่เหมือนกัน แต่พอโตขึ้นมาแม่หรงก็อาหารอร่อยได้เหมือนทุกวันนี้นี่แหละ!” หลี่หรงยิ้มและตอบกลับ
เรื่องนี้หลี่หรงไม่ได้โกหก มันเป็นความจริงที่เมื่อตอนเด็ก ๆ เธอเองก็ทำอาหารได้แย่เหมือนกัน
“ถ้างั้น… หนูอยากโตไว ๆ จังเลย…”
ถึงแม้ว่าถวนถวนไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แต่เธอก็เชื่อว่าหลี่หรงไม่โกหกเธอแน่ ดังนั้นเด็กน้อยจึงมีความคิดอยากโตขึ้น ไว ๆ เพื่อที่เธอจะได้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้พ่อและแม่หรงของเธอกิน
เช้าวันต่อมา
อวี้ฮ่าวหรานไปที่บริษัทตามปกติหลังจากส่งถวนถวนเข้าโรงเรียนเสร็จ
“ผู้จัดการหวัง คุณช่วยเรียกบอร์ดบริหารและผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ทุกคนมาพบผมที่ห้องประชุมที ผมมีอะไรจะประกาศกับทุกคน”
ในทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เขาเอ่ยคำสั่งกับผู้จัดการหวังทันที
ในเมื่อตอนนี้ปัญหาส่วนใหญ่ของบริษัทถูกแก้ไขได้เกือบครบแล้ว เขาจึงต้องการที่จะเรียกประชุมใหญ่อีกรอบกับคณะผู้บริหารเพื่อสยบการต่อต้านที่ยังคงเหลืออยู่
ก่อนที่จะดำเนินแผนการขั้นต่อไปเพื่อทำให้บริษัทเติบโตมากยิ่งขึ้น เขาต้องกำจัดปัญหาทั้งหมดให้จบก่อน!
วันนี้มันถึงเวลาแล้ว!
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง บอร์ดบริหารและผู้จัดการแผนกต่าง ๆ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องประชุมใหญ่ครบ
“ขอบคุณทุกคนที่มารวมกันในวันนี้ตามคำสั่งของผม ผมอยากจะบอกกับทุกคนว่าขณะนี้บริษัทของเรากำลังดำเนินไปยังทิศทางที่ถูกต้องโดยเฉพาะหลังจากปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท ฉะนั้นแผนการต่อไปก็คือ…”
“นายเงียบไปเลย! หลายวันที่ผ่านมานี้นายทำบ้าอะไรของนาย! นายดำเนินการเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ปรึกษาพวกเราเลย นายใช้อำนาจที่นายมีสนองความต้องการของนายเองแบบหน้าด้าน ๆ อยู่ฝ่ายเดียว!”
ยังไม่ทันที่อวี้ฮ่าวหรานจะพูดจบ เจิ้งเหวยกัวตะโกนสวนออกมาก่อนแล้วด้วยสีหน้าโมโห
“และยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่นายสร้างความวุ่นวายให้กับบริษัทไปมากมาย ฉันก็ยังไม่เห็นว่านายจะทำกำไรให้บริษัทของเราเพิ่มแม้แต่แดงเดียว แถมนายยังทำให้พนักงานฝ่ายผลิตประท้วงหยุดงานไปถึง 2 วัน!”
น้ำเสียงของเจิ้งเหวยกัวหยาบคายเป็นอย่างมาก เขาไม่ไว้หน้าอวี้ฮ่าวหรานที่มีตำแหน่งเหนือกว่าตัวเองแม้แต่น้อย
หลายวันที่ผ่านมานี้ เจิ้งเหวยกัวรู้สึกหนักอกหนักใจเป็นอย่างมากที่ได้แต่มองอวี้ฮ่าวหรานทำตามใจตัวเองเพียงอย่างเดียว โดยที่เขาเองไม่สามารถทำอะไรได้เพราะไม่มีอำนาจมากพอ และทุกอย่างที่อวี้ฮ่าวหรานทำลงไปมันกระทบต่ออิทธิพลในบริษัทของเขาโดยตรง ดังนั้นในวันนี้เขาจึงแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
วันนี้เขาตั้งใจเอาไว้ว่าเขาจะต้องโน้มน้าวให้ทุกคนช่วยกันกดดันอวี้ฮ่าวหรานให้ลงจากตำแหน่งให้ได้!
“กำไรของบริษัทก็ไม่เพิ่ม แถมไม่กี่วันที่ผ่านมานายยังใช้เงินของบริษัทไปถึง 12 ล้านเพื่อซื้อไอ้หุ่นบ้า ๆ นั่นมาอีก คนอย่างนายมันไม่เหมาะจะมาบริหารบริษัทของเราเลย!”
แน่นอนว่ายิ่งเจิ้งเหวยกัวพูดมาเท่าไหร่ บรรดาผู้บริหารที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยมากขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับหัวเราะและตอบกลับ “คุณบอกว่าผมไม่มีความสามารถงั้นเหรอ? นี่วัน ๆ คุณเอาแต่นั่งอยู่ในออฟฟิศของคุณเฉย ๆ ไม่อ่านเอกสารรายงานความคืบหน้าของบริษัทบ้างเลยรึไง? ขณะนี้กำลังการผลิตของบริษัทเราเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% คุณรู้บ้างรึเปล่า? และยิ่งไปกว่านั้นคนที่สร้างความปั่นป่วนให้กับบริษัทอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมันไม่ใช่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างพวกคุณรึไง?”
“คุณคิดว่าผมไม่รู้งั้นเหรอว่าสาเหตุที่พนักงานประท้วงเป็นเพราะคุณอยู่เบื้องหลัง?”
หลังจากได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน ผู้บริหารบางคนต่างก็พยักหน้า
ถูกต้อง! หลายวันมานี้ประสิทธิภาพการทำงานในบริษัทดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสาเหตุที่มันเป็นแบบนี้เป็นเพราะแผนการของประธานคนใหม่ผู้นี้
“ฉันเนี่ยนะเป็นคนอยู่เบื้องหลัง?” เจิ้งเหวยกัวหัวเราะและแสร้งแสดงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“มันเป็นเพราะนายไร้ความสามารถต่างหาก พวกพนักงานถึงไม่ยอมเชื่อฟังนายจนเกิดเหตุประท้วงกันแบบนั้น อย่ามาโยนความผิดให้คนอื่นแบบหน้าด้าน ๆ แบบนี้จะดีกว่า!”
อันที่จริงในใจของเจิ้งเหวยกัวเริ่มตื่นตระหนกอยู่เหมือนกัน ที่เห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานรู้เรื่องทั้งหมดแล้วแถมยังยกประเด็นนี้ขึ้นมาโจมตีเขาในที่ประชุม แต่เขาก็ยังแสร้งโมโหกลบเกลื่อนได้อย่างแนบเนียน
“ไม่ใช่แค่นายไม่มีความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อวันก่อนนายยังใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบอีกต่างหาก ยกตัวอย่างเช่นการไล่ผู้จัดการโหวออกจากบริษัทซึ่งมันทำให้งบสวัสดิการอาหารพนักงานปั่นป่วนเละเทะ!”
“เรื่องนี้นายควรจะแสดงความรับผิดชอบ!”
เจิ้งเหวยกัวไม่ลืมที่จะยกประเด็นหลานของเขาออกมาพูด เพราะเรื่องนี้มันทำให้เขาโมโหมากที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมา
กลับกัน อวี้ฮ่าวหรานยิ่งยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าที่เดือดดาลของเจิ้งเหวยกัว
คนคนนี้นับได้ว่าไร้ยางอายอย่างแท้จริง เป็นที่รู้กันไปทั่วแล้วว่าผู้จัดการโหวอะไรนั่นยักยอกเงินส่วนต่างที่ลดค่าอาหารพนักงานเข้ากะเป็นตัวเอง แต่คนคนนี้กลับพลิกลิ้นพูดให้การไล่ออกครั้งนั้นกลายเป็นความผิดของเขางั้นเหรอ?
“ผมว่าไอ้เรื่องของคนแซ่โหวอะไรนั่น เราคงไม่จำเป็นต้องพูดกันต่อเพราะทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น…” อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เหอะ! ใช่สิก็นายไล่เขาออกไปแล้วใครจะไปพูดอะไรได้? คนที่ไม่มีความสามารถอย่างนายแถมใช้อำนาจในทางที่ผิดอยู่เป็นประจำ ฉันมีความเห็นว่านายไม่มีคุณสมบัติพอจะนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานบริหาร!”
เจิ้งเหวยกัวพูดแทรกอวี้ฮ่าวหรานขึ้นมาอีกรอบ
ทางด้านของพวกผู้บริหารที่นั่งใกล้ ๆ กับเจิ้งเหวยกัว พวกเขาต่างก็พากันพูดขึ้นเสริมเช่นกัน
“ใช่! พวกเราไม่เห็นว่าประธานอวี้จะสร้างกำไรให้กับบริษัทเพิ่มเลย!”
“คนหนุ่มอย่างคุณยังไม่มีประสบการณ์พอจะบริหารบริษัทหรอก!”
ผู้บริหารหลายคนที่อยู่ฝั่งเจิ้งเหวยกัวเริ่มแสดงบทบาทของตัวเอง แสร้งทำสีหน้าผิดหวังและพูดกดดันอวี้ฮ่าวหรานเรื่อย ๆ ให้ลงจากตำแหน่ง
เหตุการณ์แบบนี้หากเป็นคนธรรมดาคงทนรับไม่ไหวเดินหนีออกจากห้องประชุมไป แต่อวี้ฮ่าวหรานใช่คนธรรมดาซะที่ไหน?
วันนี้เขาเตรียมการมาหมดแล้ว… และมันก็ถึงเวลาที่เขาจะโต้กลับ!