ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 104

เจ้าหลบหน้าข้า

แต่ตอนที่นางเข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูกำลังจะทำอะไรต่อไปนั้น เขากลับพลันลุกขึ้นมานั่งงอเข่าอย่างสบายใจอยู่ข้างนาง มือหนึ่งจับนางไว้แน่น มือหนึ่งจับเสื้อเอี๊ยมตัวในของนางไว้

เหลียงชิวฉานที่สูญเสียการควบคุมเลือดลมติดขัด ในที่สุดลำคอก็มีลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง

เขากลับใจเย็นหยิบเสื้อตัวในเช็ดเลือดให้นาง “ศิษย์พี่รู้สึกว่าเจ็บปวดกว่าตายอีกใช่หรือไม่? ไม่เป็นไร แต่ก่อนพวกเจ้าก็ทำให้ข้าอับอายแบบนี้” เขาวางเสื้อตัวในลง พูดอีกว่า “แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่แตะต้องเจ้าแน่ ข้ารู้ว่าเจ้าถูกตาต้องใจอาจารย์ลุงเจ้าสำนักมานานแล้ว และข้าก็ไม่สนใจร่างกายนี้ของเจ้าด้วย”

“เหมือนกับที่พวกเจ้าดูแคลนข้า ข้าก็ดูแคลนพวกเจ้าเช่นกัน เจ้ากับจีหย่งฟาง ต่อให้มอบแก่ข้าโดยไม่เอาอะไรข้าก็ไม่ต้องการ”

ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของเขานิ่งสงบไม่กระเพื่อมไหว กระทั่งยังมีความหยามเหยียดพาดผ่านอยู่หลายส่วน

เหลียงชิวฉานถูกล่วงรู้ความในใจ สีหน้าแดงจนออกม่วง

นางสูดลมหายใจเข้าลึกพลางมองเขา บนหน้าผากมีเหงื่อไหลราวกับฝนตก แต่ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของเขา นอกจากจะอับอายและโกรธแค้นแล้ว กลับยังค่อยๆ สงบลงอีกด้วย

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เหลียงชิวฉานเปิดปาก ไม่นึกเลยว่านางจะเอ่ยออกเสียงได้แล้ว

แต่ความจริงแล้วถึงแม้นางออกเสียงได้ก็กลับไม่ช่วยอะไรมากนัก สภาพของนางเป็นแบบนี้ จะเรียกคนเข้ามาล้อมวงดูได้หรือ?!

“ข้าคิดจะทำอะไร ศิษย์พี่ย่อมรู้” เขาหรี่ตามองเสื้อเอี๊ยมในมือ เผยอปากพูด “ข้าคิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะฉลาดขนาดนี้ กลับเดาออกว่าข้าสังหารหลินเซี่ย ข้าเพียงอยากให้ศิษย์พี่รักษาความลับนี้ไว้ให้ก็พอแล้ว หากเจ้าเชื่อฟังคำข้าและเก็บเรื่องนี้ไว้ ข้าก็จะไม่ทำอะไร หากไม่ฟัง ข้าจะนำเรื่องที่เรามีอะไรกันแจ้งแก่สำนักแรกพยับ…”

“เจ้าสัตว์เดรัจฉาน!” นางพลิกตัวลุกขึ้นมา ยื่นมือไปแย่งเสื้อเอี๊ยม ไม่คิดว่าจะคว้าได้อากาศจนล้มลงไปกับพื้น นางเงยหน้าขบเขี้ยวเคี่ยวฟันมองเขา “หากเจ้ากล้าใส่ร้ายข้า ข้าก็กล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าให้พวกเขาดู!”

“พิสูจน์อย่างไร?” หลินเจี้ยนหรูดึงอีกฝ่ายกลับมา มือซ้ายจับชีพจรนาง มือขวาจับสะดือนาง “พรหมจรรย์ของเจ้าหรือ?”

เขาพูดพลางชี้นำพลัง ต่อมาได้ยินเสียงนางร้อง ‘อา’ อย่างอึดอัด ร่างทั้งร่างของนางคดงอ! ตรงระหว่างขามีเลือดกลุ่มหนึ่งไหลออกมาราวน้ำพุ ทำให้กางเกงถูกย้อมด้วยสีแดงในพริบตาเดียว!

นางมองเลือดที่กางเกง ยังมีความเจ็บปวดราวกับถูกฉีกทึ้งช่วงท้องน้อยตามมา สีเลือดในกายทั้งหมดพลันหายไป…คิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้พลังทำลายพรหมจรรย์ของนางตรงช่วงท้องน้อย…คราวนี้ถึงนางจะกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างไม่สะอาดแล้ว!

“เจ้าไม่บริสุทธิ์แล้ว และในมือข้ายังมีสิ่งนี้ของเจ้าอีก เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกไปจะมีคนเชื่อหรือ? ควรรู้ด้วยว่า ข้าเป็นสวะในสายตาพวกเจ้ามาตลอด แต่เจ้าที่เข้าไปในห้องของหลินเซี่ยในคืนนั้นยังปล่อยให้ข้าทำสำเร็จตามประสงค์ นี่มิใช่แสดงว่าเจ้ามีใจปล่อยข้าไปหรือ?”

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” นางหันมามองหลินเจี้ยนหรู พุ่งเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง!

หลินเจี้ยนหรูจับข้อมือนางอย่างไม่ลังเล พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “หากศิษย์พี่ไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็จัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย! หลังจากออกจากประตูนี้ไปแล้วก็ปิดปากให้สนิท! แบบนี้ดีต่อทั้งเจ้าและข้า ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้ายังสามารถอยู่ข้างกายอาจารย์ลุงเจ้าสำนักต่อไป”

พูดจบเขาปล่อยนางอย่างรุนแรงอีกครั้ง เลิกม่านแล้วเดินออกไป

เหลียงชิวฉานมองผ้าม่านที่ขยับไม่หยุด ผลักตู้สูงครึ่งตัวคนที่อยู่ชิดกำแพงจนล้ม!

มู่จิ่วนั่งเหม่อลอยในห้องอยู่นาน อารมณ์ราวกับอยู่ในน้ำแข็งและไฟในเวลาเดียวกัน รสชาติแบบนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย

แต่หากรับความจริงนี้ได้ ที่เหลือคือจะมองข้ามเรื่องที่ผ่านมาและจัดการเรื่องในภายภาคหน้าอย่างไร…หมายถึงภายภาคหน้าที่ไม่ใช่เรื่องหลังความตาย ซ่านเซียนที่เมื่อก่อนสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กลายเป็นมหาเทพเซียนที่สูงส่ง เรื่องราวมากมายไม่อาจเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว

อย่างเช่นเรื่องปัญหาการปฏิบัติต่อเขา มหาเทพไม่อยากไป นางก็คงไม่สามารถไล่เขาไปได้? หากเขาไม่ไป นางจะปฏิบัติต่อเขาอย่างส่งเดชเหมือนเมื่อก่อนได้อีกหรือ? เขาเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ เอ่ยส่งเดชเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้ทั้งชาติภพไม่ได้ไปผุดไปเกิด อย่างไรนางก็ไม่อาจหาเรื่องใส่ตัวใช่หรือไม่?

แต่หากจะปฏิบัติอย่างดี

จะปฏิบัติอย่างไร?

ต่อให้บีบเค้นนางก็ไม่อาจเนรมิตวังชิงเสวียนออกมาให้เขาได้!

กินข้าวมื้อนี้ไม่สบายใจเท่าไรนัก โดยเฉพาะเมื่อลู่ยาตักกับข้าวให้นางเป็นระยะๆ…

เทพเซียนบรรพกาลท่านหนึ่งกลับตักกับข้าวให้คนไม่สำคัญอย่างนาง! เป็นการได้รับความเอ็นดูที่ทำให้ตื่นตกใจนัก กับข้าวที่พอกพูนอยู่ในชามดุจภูเขานางล้วนไม่กล้าเคี้ยว

นางหมกตัวอยู่ในเรือนตลอดบ่าย

วันถัดมานางเริ่มวุ่นอยู่กับการตามหา ‘ซิงจวิน’ จากปากคำของจิ้งจอกน้อย ยุ่งเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่น ดังนั้นวันถัดมาหลายวันจึงไม่ได้พบหน้า ถึงอย่างไรเรื่องงานก็สำคัญกว่า

ถึงแม้คำให้การของจิ้งจอกน้อยพุ่งเป้ามาที่สวรรค์ แต่มู่จิ่วไม่ได้นำมันมาเป็นเบาะแสเดียว เพราะนอกจากเขาอาจฟังผิดแล้ว ซิงจวินที่อีกฝ่ายพูดถึงก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวข้องกับคดี แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสที่ชัดเจนกว่านี้ให้กล่าวถึง ตอนนี้ก็ต้องเดินไปตามทางนี้ก่อน

วันถัดมาหลังจากที่นางกลับมาจากชิงชิว หลิวจวิ้นก็ไปฝ่ายราชการ ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร ถึงจัดการนำชื่อและตำแหน่งของ ‘ซิงจวิน’ ทั้งหมดออกมาได้ แต่หลังจากดูแล้วมู่จิ่วก็รู้สึกมึนอยู่บ้าง ซิงจวินบนสวรรค์มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดสิบสองคน แต่ละคนมีตำแหน่งสำคัญ และครึ่งหนึ่งมาจากการบำเพ็ญเพียรสำเร็จเต๋า ครึ่งหนึ่งเลื่อนขั้นหลังตาย

นางเลือกส่วนที่เป็นผู้บำเพ็ญตนโดยกำเนิดทั้งสามสิบหกคนออกมาก่อน เพราะคนเหล่านี้ล้วนมาจากลัทธิฉ่าน สอดคล้องกับเบาะแสที่นางมีในมือ

ทว่าในสามสิบหกคนยังต้องตัดผู้ที่ทำหน้าที่ได้ไม่นานไปอีกครึ่ง เพราะแสดงว่าพื้นฐานยังไม่มั่นคง พื้นฐานไม่มั่นคงหมายถึงว่ามีความกล้ากับเงื่อนไขที่จะทำเรื่องเหล่านี้ไม่มากนัก

สุดท้ายนางนำเอาชื่อสิบสองคนออกมาจากม้วนบันทึกไปหาหลิวจวิ้น

“สิบสองคนนี้จากสภาพการณ์ภายนอกล้วนสอดคล้องอย่างมาก ทำหน้าที่มานาน พลังสูงส่ง สังคมกว้างขวาง และมีศิษย์ของตนเอง แต่ข้ากลับไม่พบเหตุผลที่พวกเขาทำแบบนี้ และก็ไม่เจอว่าพวกเขามีบันทึกการเข้าออกที่ประตูสวรรค์แดนใต้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกเขาได้เข้าออกทางประตูอื่นหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่มีอำนาจไปตรวจสอบทั้งสามประตูด้วย”

หลิวจวิ้นหยิบบันทึกมาพลิกๆ ดู สุดท้ายหยิบเอาป้ายจากในลิ้นชักออกมา “ไปตรวจสอบดู นอกจากนี้ พวกนั้นอาจจะซ่อนของวิเศษจำนวนมากขนาดนั้นไว้นอกสวรรค์ หากซ่อนอยู่ในสวรรค์แล้ว ตอนเข้าออกประตูต้องถูกบันทึกไว้แน่ แต่ประตูใหญ่ทั้งสี่ฝ่ายทหารดูแลจัดการโดยตรง ฝ่ายทหารหลีหังเจินเหรินเป็นศิษย์คนที่เก้าของเหล่าจวิน คนใต้บังคับบัญชาของเขาหยิ่งยโสหาใดเปรียบ รับมือไม่ง่ายนัก”

มู่จิ่วรับป้ายมา “ข้าน้อยจะระมัดระวัง”

หลิวจวิ้นจิบชา โบกมือให้นางออกไป

นางถือป้ายเตรียมไปยังประตูสวรรค์ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งออกธรณีประตูไปก็ถูกคนขวางทาง

หลินเจี้ยนหรูยืนอยู่ที่ประตูพลางหลุบตามองนาง “เจ้าจะไปไหน?”

เพราะมู่จิ่วรับปากลู่ยาไว้แล้วว่าจะไม่ติดต่อเขาเป็นการส่วนตัวอีก ดังนั้นจึงตั้งใจหลบหน้าเขา แต่ตอนนี้บังเอิญเจอกันก็ไม่อาจหันหน้าแล้วจากไป ดังนั้นจึงชูป้ายในมือขึ้น พูดว่า “ได้เบาะแสจากชิงชิวมาเล็กน้อย ข้าจะไปที่ประตูสวรรค์เพื่อตรวจสอบหน่อย”

“ตอนนี้เจ้าไม่คิดจะสนใจข้าแล้วหรือ?” เขาถาม น้ำเสียงมีแววประชดประชันตนเองเล็กน้อย “เจ้าเหมือนกับตั้งใจหลบหน้าข้า”

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset