เรื่องการทบทวนตัวเองให้มากขึ้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว กลับเรือนไป เสี่ยวซิงที่แสนจะรวดเร็วก็ทำอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย
เมื่อคืนอิ่นเสวี่ยรั่วทำงานล่วงเวลา ต้องการนอนพักต่อ อาฝูลู่ยาต่างก็นั่งประจำที่แล้ว มู่จิ่วรีบกินข้าวไปสองคำก็เร่งซ่างกวนสุ่น อาฝูเข้าใจว่าพวกเขาจะไปเล่นจึงอยากตามไปด้วย มู่จิ่วคิดว่าปกตินางก็พาเขาเดินเล่นไปทั่วอยู่แล้ว เดิมทีคิดพาเขาออกไปปกปิดร่องรอยการเคลื่อนไหว แต่จนปัญญาที่ลู่ยาต้องการให้เขารั้งอยู่ฝึกพลัง จึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดเสีย
อาฝูมีลู่ยาชี้แนะฝึกฝน นั่นเป็นความโชคดีอันใหญ่หลวงของเขาแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาตอนนี้ตายไปหรือยัง?
เรื่องไม่จำเป็นควรเอ่ยถึงให้น้อย สองคนมุ่งตรงไปยังประตูสวรรค์แดนเหนือ เมื่อถึงแล้วมู่จิ่วหยุดลงที่ตรอกหนึ่ง พูดว่า “ข้าเดินเล่นรอเจ้าอยู่แถวนี้ เจ้าไปจัดการงาน ทำเสร็จแล้วก็ให้สัญญาณ พวกเราค่อยหาที่พบเจอกัน”
ซ่างกวนสุ่นพยักหน้า จากนั้นหยิบพัดออกมาจากหลังคอ เดินวางก้ามใหญ่โตไปทางประตูสวรรค์แดนเหนือราวกับเป็นเถ้าแก่ที่เพิ่งโกงเงินลูกค้ามาสองสามเหรียญเงิน
มู่จิ่วต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดพิรุธ ไม่สามารถเข้าใกล้มากได้ จึงเดินเล่นอยู่ที่ถนนสายนี้
ทำเนียบอาคารที่อยู่บนถนนแต่ละสายของสวรรค์ล้วนยิ่งใหญ่อลังการ นอกจากอาคารของแต่ละหน่วยแล้ว นอกนั้นก็เป็นอาคารของเหล่าเจ้าหน้าที่เซียน
ถนนที่มู่จิ่วเดินอยู่ข้างหนึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างจากหินหยกหลากสี ข้างหนึ่งเป็นต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ไม่หนาแน่นนัก กระจัดกระจายกันจนยังสามารถเห็นบ้านเรือนฝั่งนั้นได้
ตอนนางเดินถึงทางแยก จีหย่งฟางที่เดินมาด้านหน้าตรงถนนเยื้องกันเห็นนางเข้า จึงรีบสะกิดเหลียงชิวฉานที่ด้านข้าง “ดูสิ เป็นเจ้าคนต่ำช้านั่น!”
เหลียงชิวฉานหยุดเท้ามองมา เห็นมู่จิ่วที่มือทั้งสองไพล่หลังเดินอย่างสบายๆ ริมอาคาร แต่ไหนแต่ไรนางไม่รู้จักว่าความกังวลคืออะไร ร่างผอมบางยืดขึ้นตรงราวกับพู่กัน ใบหน้าเล็กๆ เชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาโตทั้งคู่กวาดไปรอบด้าน ผมยาวทิ้งตัวอยู่บนสองไหล่ ทำให้ใบหน้าของนางยิ่งดูเด่นขึ้นมา
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามทอดลงบนกายนาง นางจึงเดินมาพร้อมแสงสีทองระยิบระยับปกคลุมร่าง เหมือนกับเทพยดาที่สูบพลังเข้าไปจนพอ
เหลียงชิวฉานไม่นับว่ามีความรู้สึกเกลียดชังลึกซึ้งกับมู่จิ่วมากนัก ตอนนี้ยิ่งไม่อยากสนใจ มองดูเล็กน้อยก็ยกเท้าเดินไปข้างหน้า
ตั้งแต่ประสบกับเหตุการณ์ที่น่าอับอายภายใต้เงื้อมมือของหลินเจี้ยนหรู ร่างทั้งร่างของนางเหมือนจมอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์นั้น ไม่มีหนทางดึงตนเองขึ้นไป
ให้ตายนางก็ไม่อาจคิดว่าหลินเจี้ยนหรูแท้จริงแล้วเป็นฆาตกรสังหารหลินเซี่ย ยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลังจากเขากินมหาโอสถทองเข้าไปแล้วจะเลื่อนขั้นถึงสองขั้น หากไม่ใช่ลั่วฉือไปทันเวลา นางคงตายอยู่ในเงื้อมมือเขา…แต่เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับทำให้นางยิ่งอยากตายในตอนนั้น!
นางบำเพ็ญเพียรที่สำนักแรกพยับมาแปดร้อยปี ตั้งแต่แรกเริ่มก็กราบไหว้หัวชิงเป็นอาจารย์
นางสูญเสียมารดาแต่เล็ก อายุสิบสองบิดาของนางฝากฝังนางให้กับหัวชิงที่ผ่านทางมา หัวชิงนำนางเข้าสู่หนทางเซียน เป็นทั้งพ่อและอาจารย์ให้กับนาง ในแปดร้อยปีนี้จิตใจของนางล้วนครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และเขาก็ยิ่งไว้เนื้อเชื่อใจนาง ใจนางมีความลับอยู่หนึ่งอย่าง หวังจะกลายเป็นคู่ชีวิตเคียงข้างเขา แต่ทั้งหมดนี้ล้วนถูกหลินเจี้ยนหรูสัตว์เดรัจฉานนั่นทำลายหมดแล้ว!
การเลือกคู่ชีวิตต้องมีร่างกายบริสุทธิ์ หลินเจี้ยนหรูใช้พลังทำลายพรหมจรรย์ของนาง ถึงแม้นางจะมีโอกาสครองคู่กับหัวชิง นางจะยืนยันได้อย่างไรว่าตนบริสุทธิ์?
หลายวันมานี้นางก็ไม่รู้ว่าผ่านมาได้อย่างไร เพียงรู้ว่ามีความคิดที่จะสังหารเจ้านั่นหลายครั้ง แต่เงามืดที่ถูกเขาจับจุดอ่อนได้ยังคงอยู่ ทำให้นางต้องหักห้ามใจไว้
อย่างไรก็ตาม ฝันร้ายนี้หลอกหลอนจนสติของนางพร่าเลือน เทียบกับมู่จิ่วที่เดินมาอย่างแจ่มใสแล้วแตกต่างราวฟ้าดิน
“แม่คนต่ำช้า ยังมีหน้ามาเดินอวดเบ่งเรียกร้องความสนใจที่นี่? ศิษย์พี่ พวกเราไปสั่งสอนนางหน่อย!” จีหย่งฟางพูดอย่างโกรธเคือง
ถึงแม้ผ่านไปหลายเดือน นางยังจำได้ว่ามู่จิ่วทำให้นางพ่ายแพ้หมดรูปแค่ไหนที่นอกประตูสวรรค์แดนใต้ นางเป็นแม่นางจีที่มีแต่คนยกย่องในสำนักแรกพยับ มาถึงสวรรค์ล้วนสะดวกสบายเพราะเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกแม่สาวบ้านนอกที่ไม่รู้มาจากไหนทำร้ายจนจมูกเขียวหน้าช้ำ ความรู้สึกนี้จะให้นางกล้ำกลืนเข้าไปอย่างไร?
บวกกับจีหมิ่นจวินแบกเอาความโกรธมาจากชิงชิว กลับมาถึงนางก็ถูกหัวชิงต่อว่า ครั้นพูดถึงสาเหตุ คิดไม่ถึงว่ามีแม่คนต่ำช้าผู้นี้อยู่ในนั้นด้วย แค้นใหม่ความโกรธเก่ารวมเข้าด้วยกัน เป็นธรรมดาที่จะไม่สบอารมณ์
“ก่อเรื่องให้น้อยหน่อย!” เหลียงชิวฉานขมวดคิ้ว “ที่นี่คือสวรรค์”
ใจนางสับสนวุ่นวาย ไหนเลยจะมีแก่ใจสร้างปัญหาเพิ่ม?
จีหย่งฟางเชิดปากขึ้น ยกเท้าขึ้นเดินตามหลังไป ดวงตาทั้งคู่กลับยังคงจับจ้องมาทางนี้
ที่จริงมู่จิ่วก็เห็นพวกนางนานแล้ว
สีหน้าท่าทางของจีหย่งฟางนางไม่คิดแม้แต่จะมอง แต่ท่าทางแบบนั้นของเหลียงชิวฉานกลับทำให้นางตกใจ เพียงไม่เจอหลายวัน สีหน้านางซีดเหลืองเบ้าตาลึก ราวกับโต้รุ่งมาหลายคืน…ไม่สิ ถึงแม้จะโต้รุ่งแต่สำหรับพวกนางแล้วไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง นี่นางเป็นอะไรกัน?
แต่นางไม่อยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของเหลียงชิวฉาน
กวาดตามองอีกฝ่ายก่อนละสายตากลับมา
ข้างหน้ามีร้านขายหมี่เย็นของเถ้าแก่หมี ได้ยินมาว่ารสชาติไม่เลว นางจะไปชิมดูหน่อย
จีหย่งฟางเห็นท่าทางราวกับรอบข้างไม่มีใครอยู่ของนางก็โกรธอย่างมาก สูดลมหายใจเข้าลึก ถือโอกาสเตะหินก้อนกลมๆ มุ่งไปทางมู่จิ่ว!
มู่จิ่ววิวาทจนชิน ยังจะเปิดโอกาสให้ลอบทำร้ายนางได้หรือ?
หินลอยมาได้ครึ่งทางก็ถูกนางเตะกลับไป!
ก้อนหินปะทะเข้ากลางหน้าผากจีหย่งฟาง รอยแผลเลือดไหลปรากฏขึ้นในทันที จีหย่งฟางตะโกนเสียงดัง ร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นมา
เหลียงชิวฉานที่ใจลอยมาตลอดได้สติกลับคืนมา เมื่อเห็นแล้วรีบทายาหยุดเลือดให้นาง จากนั้นมองมู่จิ่วที่ยิ้มเยาะอยู่ตรงข้ามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงจ้องจีหย่งฟางพลางเอ่ย “หากเจ้าก่อเรื่องอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับแรกพยับ!”
จีหย่งฟางตะโกนอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม “นางตีข้าชัดๆ!”
เหลียงชิวฉานไม่อยากถกเถียงด้วย เรื่องของนางเองยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นางจะสนใจคนข้างๆ ได้อย่างไร?
“เมื่อครู่ใครเป็นคนลงมือ?!”
ที่นี่กำลังวุ่นวาย ข้างกายกลับมีคนเพิ่มมาอีกคน ในมือถือหิน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างจ้องพวกนาง ถึงแม้เขาร่างกายจะเป็นคน แต่บนศีรษะยังมีเขาที่ยังไม่หายไปทั้งหมด ดูแล้วน่าจะเป็นสัตว์เขาเดียว แต่ซีกหน้าด้านซ้ายมีก้อนเนื้อขนาดกำปั้นเล็กปูดขึ้นมา ทั้งยังเขียวคล้ำ
จีหย่งฟางนิ่งไป มู่จิ่วที่ห่างไปไม่ไกลก็นิ่งงัน
หินในมือสัตว์เขาเดียวมิใช่หินที่นางเตะไปโดนจีหย่งฟางก้อนนั้นหรือ?
เมื่อครู่หลังจากเตะหินใส่จีหย่งฟางแล้วก็ไม่ได้ดูต่อว่ามันไปตกที่ไหน เห็นรอยปูดบนหน้าสัตว์เขาเดียว หรือว่าหินนี้จะลอยไปโดนเขา?
“นางทำ!” มู่จิ่วกำลังงุนงง จีหย่งฟางกลับชิงชี้มาทางนางก่อน “นางเป็นคนเตะ!”
สัตว์เขาเดียวเดินมาทางมู่จิ่ว
มู่จิ่วรีบพูด “ขอโทษด้วย เมื่อครู่ไม่ทันได้ระวัง…”
สัตว์เขาเดียวไม่รอนางพูดจบ ยกตัวนางขึ้นมา “เจ้ากล้าลงมือกับข้า?” กล่าวจบก็จะจับมู่จิ่วโยนไป
มู่จิ่วรีบชี้พื้นเอ่ย “มหาเซียนช้าก่อน! ท่านดู ทั้งถนนนี้มีเพียงบนทางเดินจึงมีหิน เมื่อครู่ข้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งล้วนเป็นอาคารหมด จะมีหินได้อย่างไร?”