“ข้าเกิดมาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเจ้าเค่อ เป้าหมายของข้าคือส่งเฟยอีที่เป็นน้องสาวไปยังข้างกายชิงผิง แต่รอจนเฟยอีเติบโต สงครามสงบ เขากลับได้เจอเฟยอีอีกคนแล้ว ตอนข้าได้เห็นองค์หญิงเฉินข้าก็รู้ว่านางคือเฟยอีอีกคนทันที นั่นคือวิญญาณที่หลุดรอดจากมือข้าไป”
“ข้ารู้ว่าความต้องการของเฟยอีคือร่วมใช้ชีวิตกับชิงผิง และรู้ว่านางละอายใจต่อเขา ดังนั้นข้าจึงยังส่งน้องสาวเข้าวัง ให้เฟยอีอีกคนหนึ่งได้ใช้ชีวิตกับชิงผิง และให้เฟยอีคนนี้ไปใช้คืนหนี้รัก ข้าต้องการช่วยให้นางสมปรารถนา เพราะถ้านางไม่สมดังใจหวัง ตลอดกาลก็คงไม่มีทางหยุด”
“แต่เรื่องมักไม่ง่ายดายเหมือนที่ข้าคิดไว้ เจ้าเค่อยืนกรานจะมอบความรู้สึกทั้งหมดให้องค์หญิงแห่งแคว้นที่ล่มสลาย และละเลยฮองเฮา ข้ารู้สึกไม่ยุติธรรมต่อเฟยอีคนนี้จึงเตือนเขา แต่เขาทำเหมือนข้าเป็นงูพิษสัตว์ร้ายอย่างชัดเจน ซ้ำยิ่งแสดงออกว่าไม่ยินยอมเข้าใกล้ฮองเฮา”
เสียงไม่เร็วไม่ช้าของหลีหังสะท้อนอยู่ในวัง มู่จิ่วตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง อู่เต๋อกลับสีหน้าซีดขาว ตัวสั่นโอนเอน
อวี้ตี้ก็ชัดเจนว่าไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร มองหวังหมู่เสียหลายครั้ง แต่หวังหมู่ขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
มู่จิ่วงุนงงไปครู่ ก่อนหันไปถามอู่เต๋อ “เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
“ไม่รู้!” เขาส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น สองตาจ้องมองหลีหังอย่างโกรธแค้น “มิน่าตอนเจาเอ๋อร์ตายข้าถึงได้เจ็บปวดใจ ตอนฮองเฮาตายข้ายิ่งเจ็บปวด! ทำไมเจ้าไม่บอกข้าแต่แรก? หรือเจ้าตั้งใจให้ข้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานต่อไป?!”
“บอกหรือไม่บอกเจ้ามีอะไรแตกต่าง?” หลีหังพูด “นี่คือลิขิตสวรรค์ อย่างไรเจ้าก็ทำร้ายนาง ถึงแม้ตอนข้าเป็นผิงหนานอ๋องบอกความจริงเจ้า เจ้าจะเชื่อข้าหรือ? ตั้งแต่ข้าคัดค้านเรื่องยกองค์หญิงขึ้นเป็นฮองเฮา เจ้าก็มองข้าอย่างหวาดระแวงตลอด หากข้านำความจริงบอกเจ้า เจ้าต้องอาศัยโอกาสนี้กำจัดข้าในข้อหามอมเมาผู้คนเป็นแน่”
“ข้าตายไม่สำคัญ แต่เฟยอีที่ยังอยู่จะทำอย่างไร?”
หลีหังมองเขาอย่างไม่ไว้หน้า ตอนนี้แต้มแดงระหว่างคิ้วยิ่งสว่างขึ้น “คนนอกล้วนรู้ว่าเจ้างามสง่าเจ้าสำราญ แต่ความจริงแล้วเป็นคนจิตใจคับแคบ มิฉะนั้นแล้ว ตอนนั้นเจ้าคงไม่ดื้อดึงกระโดดลงแท่นประหารเซียนเพราะเฟยอีหนีจากไป ดังนั้นถึงแม้เจ้าจะเป็นกษัตริย์ก็ยังเปลี่ยนนิสัยนี้ไม่ได้”
“เช่นนั้นพิษในยาขององค์หญิงล่ะคืออะไร?”
มู่จิ่วคุ้นชินกับเรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงจับข้อสงสัยจากคำพูดของเขาได้อย่างรวดเร็ว
“ถามได้ดี!”
หลีหังตบมือ “พิษในยาขององค์หญิงคงต้องถามเขา” เขาชี้อู่เต๋อ “เขามองว่าเรื่องเฟยอีจากไปเป็นการหักหลัง ทั้งยังนำความแค้นนี้ไปด้วยตอนเกิดเป็นคน ถึงแม้จะรักองค์หญิงแต่ก็ไม่แน่ว่าต้องวางใจทั้งหมด ตอนองค์หญิงให้กำเนิดโอรส พอดีทางตะวันตกเฉียงเหนือมีข่าวว่าองค์หญิงกับบุตรชายของอาหญิงจะยกทัพเข้าตีเมือง จึงวางยาพิษเพื่อความมั่นคงของบัลลังก์”
“ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น แน่นอนว่าทุกคนย่อมสงสัยข้ากับฮองเฮา เพราะข้ารู้ว่าเป็นเขาที่วางยาพิษ จึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนคิดอาจผิดไป หลังจากข้าหาความจริงได้แล้ว ก็กลัวว่าเฟยอีจะถูกเขาสังหารเพื่อเป็นการกำจัดข้า ดังนั้นจึงดึงดันพานางไป แต่ใครก็คาดไม่ถึง นางกลับยินดีตายแต่ไม่ยินยอมทำร้ายเขา”
มู่จิ่วไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรดี…
นางไม่เชื่อเลยว่าคนผู้หนึ่งจะดื้อดึงมาจนถึงขั้นนี้เพราะรักคนคนหนึ่ง
แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงที่ชิงผิงกระทำเรื่องทั้งหมดเพราะเฟยอีจากไป และเพราะแรงกดดันจากการที่หลีหังปรักปรำเขา แต่ใครใช้ให้เขาใจแคบสังหารแม่เด็กไปเล่า? นี่ไม่ใช่หลีหังกดดันมา!
ชีวิตของเฟยอีช่างเหมือนละครโศกนาฏกรรม!
อู่เต๋อมองพื้นโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ทำไมข้าถึงทำร้ายนางได้?” เขาเปิดปาก เสียงหยาบฟังไม่ชัดเหมือนออกจากปากที่ขึ้นสนิม “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยคิดจะให้นางตาย ในฐานะเจ้าเค่อ ข้าต้องมองบัลลังก์เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องอื่น นั่นเพราะข้าเคยประสบความหมดหวังมาแล้ว และได้เห็นกับตาตนเองว่าตระกูลเจ้าถูกคนหักหลัง แต่ข้าอยากให้นางตายได้อย่างไร?”
“ตอนข้าเห็นนางครั้งแรกนางเพิ่งแปดขวบ กางแขนทั้งสองขวางทางไว้เรียกข้าว่าพี่เจ้า แล้วให้ข้าช่วยนางหยิบว่าวที่ติดอยู่บนยอดต้นไม้ ชาติก่อนเหมือนข้าติดค้างนาง ทั้งที่เห็นชัดว่ามีเรื่องอื่นสำคัญกว่าต้องไปทำ กลับรับปากนาง ข้าไม่อยากแต่งกับนางก็เพราะเจ้า ข้าระแวดระวังเจ้ามาตั้งแต่ต้น เหมือนกับที่ข้ามีความรู้สึกเหมือนเคยเจอนางกับเจาเอ๋อร์มาก่อน”
“ข้าไม่ยินยอมให้นางแต่งกับตัวเอง และอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกแยกที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างเจ้าและข้า ข้าหวังว่าสุดท้ายนางกับเจ้าจะจบลงได้ดี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่เจ้ายังส่งนางมาข้างกายข้า ข้าเหมือนกับถูกพิษ ไร้ซึ่งหนทางจะดึงตนเองออกมา แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังพานางไป!”
“เจ้ามันเหมือนปีศาจร้าย พัวพันข้าเสียจนทั้งชีวิตยากที่จะสงบได้ เหมือนกับเอามีดค่อยๆ แล่เนื้อข้าออกมา เจ้ารู้หรือไม่?!”
“แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น…”
“หากไม่ใช่ เช่นนั้นทำไมหลังจากนางตายเจ้าต้องปล่อยวิญญาณนางไปจากโลกวิญญาณด้วย?!” อู่เต๋อสติแตก ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ทำให้คนเห็นแล้วทนไม่ได้ “ที่ข้าทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าปรักปรำข้า ทำลายชื่อเสียงข้า และไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้ข้าสูญเสียนางในโลกมนุษย์ แต่เป็นเพราะว่าเจ้าปล่อยวิญญาณของนางไป ทำให้ตลอดชีวิตตลอดชาติภพของข้าไม่อาจได้พบเจอนางอีก!”
“ข้าปล่อยวิญญาณ?” หลีหังขมวดคิ้ว “ข้าไปทำแบบนั้นตอนไหน?”
“เจ้ายังคิดเล่นลิ้นอีกหรือ?” อู่เต๋อกัดฟันมองเขา “ข้าตามหานางทั้งบนฟ้าและพื้นพิภพมาสี่พันปี สุดท้ายหาจนรู้ว่าวิญญาณนางที่ถูกขังรอกลับไปเวียนว่ายตายเกิดถูกปล่อยออกไปแล้ว นอกจากเจ้ายังมีใครทำแบบนี้อีก? ขัดขวางข้ากับนางไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้? ข้าเพียงแต่คิดจะใช้ชีวิตกับนางเท่านั้น เจ้าไม่สนใจ แต่ก็ไม่ยินยอมให้ข้าสมหวังเช่นกัน เจ้าบอกข้าสิ ข้าไม่ล้างแค้นเจ้าจะล้างแค้นใคร?”
บางทีอาจเป็นเพราะอัดอั้นมากไป น้ำตาจึงไหลลงมาตามใบหน้า
หลีหังก็นิ่งอยู่นานไม่ขยับ สุดท้ายจึงพูดออกมา “แต่ข้าไม่ได้ปล่อยนางไปแน่นอน! แม้แต่วิญญาณนางไปอยู่ที่ไหนข้ายังไม่รู้! ข้าไปหาเฒ่าจันทราเพื่อดูวาสนา ข้ากับนางไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก มีเพียงเจ้ากับนางที่ทุกชาติภพมีชะตาต้องกัน!”
อู่เต๋อยิ้มเยาะ “ในเมื่อเจ้าไปหาเฒ่าจันทรา มิใช่ว่ามีเหตุผลจะทำแบบนี้หรือ? ในเมื่อเจ้าเคยพานางไปจากข้างกายข้าด้วยตนเอง ข้ายิ่งไม่เชื่อว่าเจ้าเปลี่ยนได้ ไม่เชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนทำ!”
หลีหังไร้คำพูด
ทั้งวังล้วนเงียบไป
“เอาละ” ตอนนี้เอง อวี้ตี้ค่อยๆ พูดออกมา “ในเมื่อเรื่องราวกระจ่างแจ้งทั้งหมด อู่เต๋อก็ยอมรับความผิดตนแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ปิดคดี อู่เต๋อเจินจวินความผิดร้ายแรง ไม่เหมาะกับวิถีเซียน ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น โทษมิอาจอภัย ให้ตัดรากฐานเซียนกลับไปเวียนว่ายตายเกิด ทุกชาติภพหนีไม่พ้นวงจรความทุกข์ระทม ส่วนหลีเปิงและพวกจำคุกสวรรค์ห้าร้อยปี”
…………………………………………………