หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าแบบนี้มีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีวิธีอื่น ตอนนี้เขาไม่อาจกลับแรกพยับได้ หากกลับไปต้องปิดเรื่องที่พลังฤทธิ์เพิ่มขึ้นและเลื่อนขั้นขึ้นสองขั้นไม่อยู่แน่ เขากลัวว่าพวกเขาจะสืบหาจนถึงที่สุด
มู่จิ่วดูออกว่าใจเขาไม่อยู่กับตัว ดังนั้นจึงถาม “เพราะเรื่องหลินเซี่ยหรือ?”
สีหน้าหลินเจี้ยนหรูซึมเซา มองนางโดยไม่พูดอะไร
มู่จิ่วเห็นท่าทางเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองทายถูก มองดูซ้ายขวาไม่มีคน ก็ขมวดคิ้วถามเขา “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“ยังจะทำอะไรได้อีก?” เขาหลีกเลี่ยง “ข้าทำได้เพียงหาทางหยุดยั้งไม่ให้แรกพยับไปชิงชิว”
พูดจบไม่รอมู่จิ่วตอบ เขารีบพูดอีก “ใช่แล้ว ยังไม่ได้ยินดีกับเจ้าเลย ในที่สุดก็สามารถบอกลาสหายร่วมบ้านได้แล้ว หยางอวิ้นกับอวี๋เสี่ยวเหลียนไม่สามารถมาก่อกวนเจ้าได้อีก คิดแล้วก็ดีใจแทนเจ้า ชินเรื่องในหน่วยงานหรือยัง?”
ไม่รู้ทำไม เรื่องอื่นรวมถึงเรื่องสังหารหลินเซี่ยเขาสามารถบอกนางตรงๆ ได้ทั้งหมด แต่เรื่องที่เขาข่มขู่เหลียงชิวฉานไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้นางรู้ เขาไม่อยากให้นางเห็นด้านต่ำทรามของเขา…ไม่ผิด เขารู้และยอมรับว่าตนเองต่ำทราม ถึงแม้เขาไม่เสียใจภายหลัง แต่ยังคงไม่อยากให้นางเห็นเรื่องเหล่านี้
“อ้อ ยังดี” เขาไม่พูด แน่นอนว่ามู่จิ่วก็ไม่สืบสาวต่อ เพียงแค่ถามต่อตามเรื่องราว “แต่เรื่องเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ข้ายังต้องค่อยๆ ปรับตัวถึงจะตามผู้บัญชาการท่านอื่นได้ทัน”
“นั่นจะเป็นปัญหาอะไร? เจ้าต้องทำได้แน่” เขาพูดอย่างมั่นใจ คำพูดนั้นจริงใจอย่างมาก
นี่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา เหมือนกับที่เขาคิดจะปกป้องแม่แท้ๆ ของเขา เขาหวังว่าต่อไปมู่จิ่วจะยิ่งอยู่ดีมีสุขขึ้นเรื่อยๆ
มู่จิ่วก็ยิ้มเช่นกัน พอดีมีสหายร่วมหน่วยเดินเข้ามาทักทายหลินเจี้ยนหรู นางจึงถือโอกาสบอกลา
ถึงแม้นางจะรู้สึกว่าเขาทุกข์ใจเรื่องการสังหารหลินเซี่ย แต่กลับไร้ความสามารถจะช่วยเหลือ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ยอมพูดอะไรด้วยเลย
หลินเจี้ยนหรูแยกกับมู่จิ่วก็กลับไปลานสนเขียว
เหลียงชิวฉานกลับมาช้าทำให้เขากังวลใจ คำถามของมู่จิ่วเพิ่มความไม่แน่ใจให้เขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาต้องอาศัยตอนกลางคืนออกไปดูเสียหน่อย
ตะวันตกดินไปอย่างรวดเร็วจากที่ไกลๆ รอจนแสงเส้นสุดท้ายลาลับไป เขาเปลี่ยนเสื้อคลุม หยิบกระบี่ และหยิบดอกบัวกลีบม่วงใบสุดท้ายกินเข้าไป จากนั้นเตรียมตัวออกเดินทาง
อย่างไรก็ตาม มือเพิ่งยื่นออกไปจับด้ามจับ ประตูกลับถูกผลักเปิดออก คนคนหนึ่งพุ่งเข้ามาราวกับพายุ จากนั้นตรงไปฟุบลงบนโต๊ะกลมและหอบหายใจเฮือกใหญ่…เป็นเหลียงชิวฉาน!
หลินเจี้ยนหรูใจเต้นกระตุก รีบหมุนตัวไปปิดประตู แล้วพูด “ศิษย์พี่เป็นอะไรไป?”
เหลียงชิวฉานกุมอก ทำเสียงขย้อนออกมาหลายคราก่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างและว่างเปล่า ใบหน้าที่แต่ก่อนเต็มสมบูรณ์ เพียงไม่กี่วันกลับซูบเซียวลง เนื้อทุกส่วนบนใบหน้ากำลังสั่น เส้นผมข้างแก้มก็เปลี่ยนเป็นสีขาว ดูไปแล้วราวกับคนที่ประสบกับการจมน้ำมา!
“จีหย่งฟาง นางถูกจับลงหลุมตัดวิญญาณแล้ว…”
สายตาของนางทอดลงบนหน้าเขา สองมือจับริมโต๊ะแน่น น้ำเสียงเย็นเยียบและแหบแห้ง เหมือนกับวิญญาณมืดปีนออกมาจากลำคอ “ข้าถูกเจ้ากดดันจนกลายเป็นฆาตกร หลินเจี้ยนหรู เจ้าพอใจหรือยัง? เจ้าพอใจหรือยัง!”
นางร้องลั่นอย่างหวาดผวา ยกมือขึ้นพลิกโต๊ะคว่ำลงไปกับพื้น จากนั้นสองมือโผไปจับสาบเสื้อเขาไว้ ฟันที่ขบแน่นและใบหน้าที่สั่นไหวดูแล้วเหมือนนางอยากกินเขาทั้งเป็น “เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน เจ้ามารร้าย! ปีศาจที่กินคนไม่คายกระดูก[1]!”
เสียงลอดไรฟันของนางออกมา ความเย็นเยียบปะทะเข้าใส่ใบหน้าเขา
เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ติดอยู่ปลายจมูกนาง พูดเสียงเบาว่า “พูดแบบนี้ ศิษย์พี่ทำสำเร็จแล้ว?”
เหลียงชิวฉานราวกับเสียสติไปแล้ว มือที่วางอยู่บนคอเขาออกแรงบีบขณะร้องตะโกน
หลินเจี้ยนหรูไม่ได้ปัดป้อง เขาใช้สองมือพยุงพื้นไว้พลางมองเหลียงชิวฉาน
นางทำสำเร็จแล้ว!
นางทำให้จีหย่งฟางเข้าหลุมตัดวิญญาณไปแล้ว!…ไม่สิ เป็นหัวชิงที่ทำ หลุมตัดวิญญาณไม่ใช่สถานที่ธรรมดา นั่นเป็นที่ที่สมัยก่อนแรกพยับใช้ลงโทษคนในสำนักที่กระทำผิด ทั้งยังเป็นเขตหวงห้าม หากไม่มีพลังสูงกว่าผู้อาวุโส ไม่เพียงไม่สามารถนำคนเข้าไป แม้แต่เข้าใกล้ยังทำไม่ได้ นี่แสดงว่าจีหย่งฟางต้องถูกมองเป็นฆาตกรแล้วได้รับการลงโทษเป็นแน่
เขาผ่อนคลายลง ที่แท้การเลือกของเขาถูกต้องแล้วจริงๆ
เขาคลายมือของนางออก ลงไปนั่งลูบใบหน้านางที่ยังสั่นเทาและโกรธแค้นอยู่ “นิ่งเสียศิษย์พี่ ศิษย์พี่ต้องเหนื่อยแล้ว” เขาลูบไหล่นางเบาๆ เหลียงชิวฉานคิดจะปฏิเสธ แต่ความเหนื่อยล้าทำให้นางไร้เรี่ยวแรง ทว่าความโกรธในใจนางจะจางหายไปได้อย่างไร? กำปั้นของนางร่วงลงบนร่างของเขาเหมือนกับฝน ฟันกัดอยู่บนหัวไหล่ ทั้งยังร้องไห้ตะโกนไปด้วย
เป็นแบบนี้ไปชั่วครู่หนึ่งนางก็เหนื่อย สองมือกุมอกขย้อนออกมา
หลินเจี้ยนหรูโอบนางพลางลูบผมนาง
ในที่สุดเหลียงชิวฉานก็หยุดผะอืดผะอมเปลี่ยนเป็นสะอื้นไห้ ทรุดลงไปนั่งกอดเข่าบนพื้น
หลินเจี้ยนหรูหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง และลุกขึ้นรินน้ำให้
นางนิ่งอึ้งก่อนรับไว้ในมือ มองน้ำในแก้วไม่ขยับเขยื้อน
หลินเจี้ยนหรูไม่ได้เซ้าซี้ เพียงคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าแล้วจึงนางถาม “เรื่องนี้ศิษย์พี่ทำได้อย่างไร?”
“ข้าอาศัยตอนอาจารย์ไปจัดการเรื่องอาจารย์อาสี่ที่ยอดเขาคุ้มมรกต ขโมยมหาโอสถทองออกมาหนึ่งเม็ด แล้วใส่เข้าไปในกาน้ำชาของจีหย่งฟาง สองวันหลังจากนั้นนางก็เลื่อนขั้น นางเลื่อนขั้นก่อนกำหนด ทั้งที่ชัดเจนว่าเพิ่งถึงขั้นจินตันได้ไม่นาน นางแอบดีใจด้วยนึกไปว่าฟ้าประทานมาให้ อาจารย์มองปราดเดียวก็รู้ว่าเมฆเคราะห์ของจีหย่งฟางผิดปกติ และสัมผัสถึงมหาโอสถทองในร่างนางเจออย่างสบายๆ”
“ตอนนั้นมหาโอสถถูกนางกลืนกินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นฐานดูไม่ออกว่านางกินเข้าไปนานเท่าไหร่ ตอนนั้นคนที่ข้าเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมายืนยันพอดีว่าวันที่อาจารย์อาตายคืนนั้นนางเข้าไปในห้อง อาจารย์ถามข้า ข้าก็บอกไปตามที่เจ้าพูด…นางสติแตกต้องการฆ่าข้า จึงถูกอาจารย์ตัดชีพจรด้วยมือเดียว จากนั้นก็ถูกจับเข้าไปในหลุมตัดวิญญาณ…”
ลำคอของนางสั่นอย่างถี่รัว มือทั้งสองก็กำหมัดแน่นอยู่ที่เข่า สายตาแสดงออกถึงความกลัว ราวกับเสียงกรีดร้องของจีหย่งฟางตอนเข้าไปในหลุมตัดวิญญาณยังคงอยู่ตรงหน้า
จีหมิ่นจวินเกือบจะลงมือกับหัวชิง แต่หัวชิงก็ยังคงตัดบททำเช่นนี้
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเห็นเขาเด็ดขาดขนาดนี้ แต่เดิมเขาไม่ใช่คนแบบนี้เลย ว่าตามเหตุผลแล้ว เขาควรจะมีความรอบคอบกว่านี้หน่อย หากไม่ใช่เพราะเขาไม่พอใจจีหมิ่นจวินมานาน นางคงทำไม่สำเร็จ!
“เช่นนั้นศิษย์พี่เอามหาโอสถทองมาได้อย่างไร อาจารย์ลุงเจ้าสำนักไม่สงสัยหรือ?” หลินเจี้ยนหรูถาม
สีหน้าของนางซีดขาว ทั้งร่างสั่นสะท้านขึ้นมาอีก “ข้ากลับไปที่เขาคืนแรกก็นำมหาโอสถทองมาได้แล้ว คืนนั้นอาจารย์ไม่อยู่บนเขาพอดี หลังจากข้านำมาได้แล้วค่อยเข้าประตูสำนักไป ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องสงสัยข้า ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องหนีการสืบเสาะของเขาไม่พ้น!…ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้า!”
นางตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้กลับมาปรากฏบนใบหน้านาง
………………………………………………………………
[1] กินคนไม่คายกระดูก หมายถึง โหดเหี้ยมและหน้าเลือด