ชีวิตผ่านไปอย่างสงบและสบาย แต่ละคนราวกับดำเนินไปตามเส้นทางชีวิตของตน มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายไม่หยุด
อีกทั้งเหมือนกับน้ำที่ไหลไปข้างหน้า
มู่จิ่วยังคงทำงานตอนเช้าฝึกบำเพ็ญตนตอนค่ำ มีเวลาก็พาอาฝูไปเดินเล่น สุขสบายอย่างมาก
วันนี้พาอาฝูไปเดินเล่นกลับมา หลี่อี้ในหน่วยงานพลันเข้ามาหา เคารพนางก่อนพูด “วันนี้เช้าเปิดประตูก็ได้รับคดีมาแล้ว เขาฉีจื่อนอกประตูสวรรค์แดนใต้มีเซียนลูกท้อผู้หนึ่ง ต้นท้อผืนหนึ่งที่ปลูกไว้ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาน นับได้ว่าขาดทุนย่อยยับ ใต้เท้าหลิวบอกให้ใต้เท้าไปดูก่อน”
ดูสิ เรื่องที่นางดูแลอยู่คือเรื่องลักเล็กขโมยน้อยเหล่านี้
แต่หน้าที่ค้ำคออยู่ ไม่มีหนทางอื่น นางไม่อาจเรื่องมากหลังจากโชคดีได้ทำคดีใหญ่
ทางนี้เก็บกวาดเรียบร้อยจึงออกจากเรือน พาเจ้าหน้าที่สองคนมุ่งไปยังเขาฉีจื่อ
เขาฉีจื่อทิวทัศน์งดงาม ทุกที่ภูเขาเขียวน้ำใส ยังไม่ทันถึงยอดเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้แว่วมา เมื่อไปถึงยอดเขาก็เห็นป่าท้อทั้งเนินเขาเหมือนถูกลมพายุพัดถล่ม เสียหายอย่างมาก กระท่อมเล็กด้านหลังป่ามีเซียนหญิงน้อยนั่งอยู่ นางหิ้วตะกร้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ข้างกายยังมีพี่สาวน้องสาวรวมกลุ่มกันพูดให้กำลังใจ
ในนั้นมีคนเห็นมู่จิ่วมา จึงผลุงตัวขึ้น “มาแล้วมาแล้ว! เจ้าหน้าที่สวรรค์มาแล้ว!”
เซียนลูกท้อน้อยหยุดร้องไห้ทันทีแล้วยืนขึ้นมา เห็นมู่จิ่วในชุดทหารก็ทำความเคารพก่อน จากนั้นร้องไห้ตาบวมเปิดปากพูด “เมื่อคืนวานไม่รู้ว่าใครผ่านมา ข้าได้ยินข้างนอกมีเสียงกรีดร้องครู่หนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้สนใจ ตอนเช้าตื่นขึ้นมาดู ไหนเลยจะรู้ว่าต้นท้อข้าล้วนถูกทำลายสิ้น นี่เป็นหยาดเหงื่อของข้าตลอดพันปี ใต้เท้าต้องออกหน้าแทนข้าด้วย!”
พูดยังไม่ทันจบน้ำตาก็ไหลรินลงมาอีก
เหล่าพี่สาวน้องสาวด้านข้างพากันล้อมรอบปลอบนาง ทั้งแย่งกันพูดว่าป่าท้อผืนนี้นางใช้หยาดเหงื่อแรงกายไปตั้งเท่าไหร่
มู่จิ่วมองดูรอบด้านที่ราวกับเกิดภัยพิบัติ ล้วนไม่มีร่องรอย นี่จะสืบได้อย่างไร?
แต่ยังไงก็พาคนเข้าไปดูในป่าเสียก่อน
เกรงว่าผืนป่าจะครอบครองพื้นที่หลายร้อยหมู่ สรุปคือเขาฉีจื่อปลูกต้นท้อไปสักสามส่วน ต้นท้อกว่าร้อยต้นถูกทำลายสิ้น ดอกท้อร่วงหล่นเต็มพื้น ใบไม้ร่วงลงกลายเป็นโคลน แต่ไม่มีรอยเท้า ดูไม่ออกว่าใครมา
แน่นอน สามารถทำลายป่าผืนใหญ่ขนาดนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา สักแปดส่วนก็ไม่แน่ว่าจะยืนทำอยู่ในป่าด้วย
“พวกเจ้าไปดูทางทิศตะวันออกกับใต้ ข้าจะไปดูทิศตะวันตกกับเหนือ” นางสั่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปทางเหนือ เซียนลูกท้อและเหล่าเซียนน้อยเดินตามหลังนาง ยังพูดส่งเดชถึงเรื่องที่ยากจะเข้าใจนี้ เด็กสาวเหล่านี้ถึงแม้จะเป็นเซียนแล้ว แต่ก็ยังละทิ้งนิสัยของเด็กสาวไม่ได้ มีที่ผิดปกตินิดเดียวก็ใส่สีตีไข่จนเกินจริง
“จริงนะ ใต้เท้า วันก่อนตอนกลางคืนข้ายังเห็นมังกรลอยอยู่กลางอากาศด้วย ฉวัดเฉวียนอยู่ครู่เดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว” เซียนดอกเหมยพูดอย่างออกรสออกชาติ
“ข้าเห็นหงส์หลายตัว พวกเขาหยุดพักเท้าอยู่บนยอดเขาข้า” เซียนไผ่น้อยยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นภาพ
เซียนลูกท้อยิ่งกังวล “หากเป็นมังกรและหงส์ทำลายป่าของข้า ข้าจะไปหาพวกเขาได้อย่างไร!”
สัตว์เทพประเภทมังกรกับหงส์ โดยพื้นฐานแล้วไม่ต้องลงมืออะไรก็จับนางไว้ได้แล้ว
“ข้าว่านะ หัวพวกเจ้าช่วยคิดเรื่องอื่นได้หรือไม่?” มู่จิ่วเหยียบหินใหญ่ก้อนหนึ่งพลางพูด “ผิดปกติแบบนี้ทำไมพวกเจ้าไม่ไปเป็นหมอผีเลยล่ะ?”
พวกแม่นางน้อยทั้งหลายถูกนางพูดย้อนจนหน้าแดงหูแดง แต่ความรู้สึกอยากซุบซิบนินทาจะดับลงง่ายๆ อย่างไร?
พวกนางพูด “แต่เดิมเป็น…อา!”
มู่จิ่วรู้สึกว่าพวกนางพูดเน้นหนักเกิน พูดก็พูดไปเถิด ยังต้องเติมคำอุทานไปอีก ไม่เพียงเท่านี้ พอเอ่ยประโยคนี้ออกมาใบหน้าพวกนางก็พลันขาวซีด…
ใบหน้าขาวซีด?
มู่จิ่วรู้สึกได้ถึงสิ่งไม่ดี จึงหมุนตัวไปตามสายตาที่อึ้งงันของพวกนาง ยังไม่ทันมองได้ชัดเจน ก็มีลมแรงขนาดล้มภูเขาพัดทะเลโจมตีเข้ามา! นางรีบชักกระบี่ออกมา แต่ยังไม่ทันออกกระบวนท่าก็ถูกพลังลมปราณพัดไปทางประตูหน้า!
ย่ามันเถอะ กลับพบศัตรูที่แข็งแกร่งเสียนี่!
เซียนลูกท้อพวกนี้ไปแหย่ศัตรูคนใดไว้?!
ตั้งแต่คลี่คลายคดีชิงชิวจนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ออกพละกำลัง นางรีบเรียกพลังลมปราณขึ้นมายังแขนขา ถอยหลังออกไปหลายจั้ง จากนั้นกระโดดขึ้นเมฆอย่างตื่นตัว!
ด้านหน้าเป็นกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว เคลื่อนเข้ามาเหมือนลูกข่าง ความเร็วเร็วจนคนรับไม่ทัน เมฆวนนี้ยิ่งเข้าใกล้ แรงดึงดูดตรงกลางนั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่นานต้นไม้และใบแห้งที่หักล้มอยู่บนพื้นก็โดนดูดเข้าไป! เหล่าเซียนหญิงน้อยพากันเรียกพลังออกมาป้องกัน แต่เมฆวนนั้นกลับยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมาก็ยิ่งแรง ราวกับต้องการดูดทั้งเขาเข้าไป!
มู่จิ่วเห็นสถานการณ์แล้ว กำลังจะหยิบนกหวีดออกมาเรียกสหายร่วมงาน ตอนนี้เมฆวนพลันเพิ่มความเร็วมุ่งมาทางนาง!
นางรีบหยิบชุดซ่อนเซียนออกมาซ่อนตัว เมฆวนนั้นหาเป้าหมายไม่เจอ ทันใดนั้นจึงหมุนวนมาในหุบเขาลึกเหมือนกับแมลงวันไร้หัวไม่รู้ทิศทาง
ด้วยความสามารถนางในตอนนี้แล้ว ต่อกรกับหัวเสินสามคนห้าคนในเวลาเดียวกันไม่ใช่ปัญหา แต่เจ้าตัวเบื้องหน้านี้ช่างอันตราย ถึงแม้เมฆวนนี้จะตรงมาอย่างรุนแรง แต่ดูไปแล้วกลับไม่เหมือนวิ่งเข้าชนทุกคน เหมือนพุ่งเข้าหานางคนเดียว!
ทำไมเป็นนาง?
ช่วงนี้นางไปมาอยู่แค่สองที่และไม่ได้ล่วงเกินใคร จู่ๆ พลันมีคนรู้สึกนางขัดตาหรือ?
ไม่นาน พลันมีเงาสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากยอดของเมฆวน ที่แท้ก็เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีน้ำเงิน! ชายคนนี้คิ้วเข้มตาโต หน้าเหลี่ยมจมูกแบน เหนือปากมีหนวดสองเส้น แต่งตัวได้อย่างโดดเด่นนัก เห็นเพียงเหนือศีรษะเขามีมงกุฎมังกรหยกสูงแปดชุ่น หน้าหลังมีพู่ ซ้ายขวาประดับอัญมณีมีค่า สวมเสื้อน้ำเงินปักดิ้นทอง ข้างเอวมีหยกแขวนไว้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของชั้นเลว!
คิดไม่ถึงว่าจะแต่งตัวเป็นชนชั้นกษัตริย์ในโลกเทพ!
นี่ยิ่งทำให้คนงุนงง นางเป็นเพียงคนไม่สำคัญ ทำไมถึงทำให้คนสูงศักดิ์เช่นนี้ตั้งใจมุ่งเข้ามาลงมือกับนางได้?
มู่จิ่วไม่รู้จักเขาแน่นอน แต่กลับแน่ใจว่าเขาพุ่งตรงมาหาตนเอง
ขณะกำลังงุนงง คนผู้นี้พลันจ้องมาทางนาง จากนั้นเหยียบอากาศกระโดดขึ้นมา มือขวากลายเป็นกรงเล็บยาวราวฉื่อ แล้วจู่โจมเข้ามาหมายจะจับตัวนาง นางตกใจจนปล่อยกระบวนท่าออกไปต่อสู้!
นางกลับลืมไปว่าชุดซ่อนเซียนนี้ใช่ว่าจะซ่อนจากทุกคนได้ คนตรงหน้าที่มาที่ไปยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าปิดเขาไม่ได้ ทำได้เพียงมองอากาศตะโกนไป “ไม่รู้ว่าท่านคือเซียนจากทิศใด? ข้ากัวมู่จิ่วไปล่วงเกินท่านตรงไหน?”
กลางอากาศมีเสียงเฮอะเยาะเย้ยมา เซียนท่านนี้หยุดมือ มองนางเหมือนมองเนื้อบนเขียง “ในเมื่อเจ้ายืนยันจากปากเองว่าคือกัวมู่จิ่ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว! เจ้าคืนชีวิตลูกข้ามา!”
พูดจบ ก็มีพลังลมปราณขุมหนึ่งสะบัดเข้ามา
มู่จิ่วรับมือกระบวนท่าโดยที่ยังอึ้ง ลูกของเขา? ลูกของเขาคือใคร? นางสังหารคนไปตอนไหน? อย่าใส่ความส่งเดชได้หรือไม่?!
“ท่านผู้เฒ่านี้มิใช่เข้าใจผิดหรือ? คำพูดต้องมีหลักฐาน!”
……………………………………………………………