ราชามังกรใช้มือเดียวดึงกระเป๋าเล็กไป หยิบเอาลูกโลหิตมังกรไฟออกมา ทันใดนั้นนิ้วทั้งสิบก็สั่นไหว
“จับนางเข้าคุก นำวิญญาณน้ำแข็งผนึกพลังฤทธิ์และพลังหยั่งรู้ของนางไว้ พรุ่งนี้เช้ามุ่งไปทิวเขาริ้วหยก!”
มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าเอาลูกโลหิตนี้ให้ไปจะยิ่งโชคร้าย หากรู้เร็วกว่านี้ว่าราชามังกรเอ็นดูลูกชายถึงขั้นนี้ แม้นางจะตายก็ไม่เก็บไว้กับตัว!
นายพลปูนำคนหลายคนจับนางไป ผลักจนออกไปยังสวนดอกไม้
ช่วงนี้ลู่ยาไม่ได้ออกไปข้างนอก
ถึงแม้หลังจากที่ราชาจิ้งจอกไปแหย่กระดิ่งหุนหยวนจนโชคร้ายส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับเขา แต่เพราะคิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกแดงจะกล้าแอบมอบวิชายั่วยวนให้มู่จิ่ว เขาจึงตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ หลังจากมู่จิ่วเลื่อนตำแหน่ง หากนางไม่มีฝีมือคอยปกป้องชีวิตคงไม่ได้แน่ แม้แต่จิ้งจอกแดงยังรู้ จึงให้วิชานางมาป้องกันตัว แล้วเขาจะไม่ส่งเสริมนางได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจสรรสร้างวิธีเพิ่มความเร็วการฝึกตนให้นาง เขาต้องทำให้นางแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
และถึงแม้ในด้านความรักตั้งแต่ต้นจนจบนางจะไม่ประสีประสาเลย แต่ความเข้าใจในด้านฝึกตนกลับสูงมาก สอนไปกลับไม่ลำบาก
แต่นางไม่ประสีประสา ตัวลู่ยาก็ไม่รีบร้อน อย่างไรสิ่งที่เขามีเยอะที่สุดคือเวลา
“กริ๊ง…”
นั่งเขียนยันต์สองใบอยู่ตรงหน้าต่าง กระดิ่งรับแขกที่แขวนอยู่บนหน้าต่างพลันส่งเสียง
เขานับนิ้วทำนาย เป็นข่าวของราชาจิ้งจอก
ราชาจิ้งจอกไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าที่จริงก็หนึ่งปีแล้ว แน่นอนว่ายิ่งขึ้นไปสูงเวลายิ่งสั้น หนึ่งปีของที่นั่นเท่ากับหนึ่งเดือนในสวรรค์
หนึ่งปีนี้ราชาจิ้งจอกส่งข่าวมาไม่น้อย แต่ก็รับรู้อยู่เรื่องเดียวคือยังเอามาไม่ได้เสียที!
เขาก็ไม่ได้เร่งรัด หุนคุนเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก เรื่องที่ราชาจิ้งจอกขึ้นไปคราวก่อนที่วังจิตกระจ่าง สักแปดส่วนต้องทำให้ฝ่ายนั้นคาดเดาได้แล้ว กระดิ่งต้องถูกซ่อนไว้อย่างดีแน่
พูดไปแล้วก็ต้องโทษที่ตอนเด็กเขาก่อเรื่องไว้เยอะ และถูกอาจารย์เอาอกเอาใจสารพัดวิธี ส่วนหุนคุนที่เขาทำให้ลำบากหนักหนาที่สุด เสียเปรียบมากที่สุด ยังไม่มีโอกาสได้เอาคืน คราวนี้ไม่ง่ายนักที่เห็นเขาพลาดท่าให้แก่กระดิ่ง จะปล่อยโอกาสมีความสุขบนทุกข์ของคนอื่นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
แต่พูดถึงตรงนี้ เขายังสงสัยเล็กน้อยว่าที่ตนทำให้กระดิ่งร้าวได้เป็นเพราะหุนคุนคนนี้ตั้งใจขุดกับดักไว้…
“ลู่หยา! ลู่หยา! แย่แล้ว! เมื่อครู่คนของทัพทหารสวรรค์มาบอกว่าจิ๋วจิ่วถูกคนประหลาดที่ไหนไม่รู้จับตัวไป!”
ตอนนี้เอง มู่เสี่ยวซิงพุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน เอ่ยทั้งใบหน้าหวาดกลัวระคนกังวล
ถูกจับไป?
ลู่ยาผลุงตัวยืนขึ้นมา
ความคิดแรกของเขาคือเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ฝีมือของนางเทียบเท่ากับซ่านเซียนแล้ว ถึงแม้พลังบำเพ็ญจะไม่พอ มีบางวิชาเรียกออกมาไม่ได้ แต่พลังฤทธิ์ของนางและของวิเศษบนกายนางสามารถทดแทนสิ่งเหล่านี้ได้!
เขารีบทำนายดูอีก สีหน้าหนักอึ้งไป “หยกประดับที่ข้าให้ไปก่อนหน้านี้ล่ะ? นางได้นำไปด้วยหรือไม่?”
มู่เสี่ยวซิงอึ้ง คิดขึ้นมาได้ “ไม่ได้นำไป! ตอนเช้าพาอาฝูไปเดินเล่นเสร็จ กลับมาที่เรือนก็มีคนให้นางไปเขาฉีจื่อ จึงเปลี่ยนเสื้ออย่างรวดเร็ว หยกตกอยู่ที่บ้าน! หยกนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือ?”
ลู่ยาขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเกี่ยวข้อง!
มู่จิ่วสังหารเฉินผิง ที่เกิดเหตุต้องมีกลิ่นอายของนางอยู่ ราชามังกรแห่งทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิงล้วนไม่ใช่คนนิ่งเฉย แน่นอนว่าต้องสามารถใช้กลิ่นอายนี้ตามหานางเจอ มีหยกประดับที่เขาให้ไปกดไว้ พวกนั้นก็หาไม่เจอ นางปลดหยกประดับออก มิใช่เป็นการให้พวกเขาจับร่องรอยได้ในพริบตาหรอกหรือ?!
“ข้าจะไปวังมังกร!”
พูดจบเขาก็ออกจากห้องไป
เสี่ยวซิงรีบตามออกไป “ข้าไปด้วย!”
ลู่ยากลับทิ้งไว้หนึ่งประโยค “เจ้าเฝ้าบ้าน!” จากนั้นก็ไม่เห็นเงาแล้ว
หลังจากมู่จิ่วถูกลากออกไป ราชามังกรเพ่งมองลูกโลหิตมังกรไฟอยู่ชั่วครู่ ก่อนกลับเข้าห้องนอนไป
ในห้องนอนมีเพียงปีศาจปลาไนคอยปรนนิบัติอยู่เท่านั้น ราชินีแยกห้องกับเขานานแล้ว ในตำหนักแม้แต่กลิ่นแป้งสักนิดก็ไม่มี
เขาเพิ่งนั่งลงรับแก้วชา ขุนนางเต่าก็รีบเดินเข้ามา “องค์ราชา! ข้างนอกมีเซียนผู้น้อยคนหนึ่งมาขอพบ”
“เซียนผู้น้อย?” ราชามังกรวางแก้วชาลง เขารู้จักเซียนผู้น้อยที่ไหน แต่ในเมื่อไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงพูด “เชิญเข้ามา”
ขุนนางเต่าออกไป เขาก็ลุกตามเช่นกัน
เมื่อถึงตำหนักด้านหน้า เห็นขุนนางเต่ายืนข้างซ่านเซียนท่าทางสง่างาม กลิ่นอายสูงส่งยากที่จะมีคำใดเปรียบเปรย พิจารณาอย่างละเอียดกลับไม่รู้จัก จึงประสานมือพูด “ขอถามว่าท่านคือ?”
ราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งย่อมไม่เคยเห็นตัวจริงของลู่ยา เขาเป็นลูกของอ๋าวก่วงราชามังกรทะเลตะวันออก ชื่ออ๋าวเชิน หลังจากโตมาก็ถูกอ๋าวก่วงแต่งตั้งให้ดูแลทะเลสาบน้ำแข็ง จำนวนครั้งที่อ๋าวก่วงเห็นลู่ยาน้อยมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย
“ข้าคือลู่หยาจากสวรรค์ ขอบังอาจถามราชามังกร กัวมู่จิ่วคู่หมั้นของข้าน้อยอยู่ในวังหรือไม่?”
ที่แท้ก็มาเพราะหญิงชั่วนั่น! ไม่คิดว่าเร็วขนาดนี้ก็ถูกเขาเจอแล้ว
อ๋าวเชินสีหน้านิ่ง เกรงว่าเขาจะดูพิรุธออก หันตัวเดินไปยังบัลลังก์ภายในตำหนัก จากนั้นพูดช้าๆ “คู่หมั้นของเจ้ากัวมู่จิ่ว? ข้าไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้มาก่อน”
ลู่ยาไพล่มือพูด “ท่านราชามังกร มีคนเห็นกับตาตนเองว่าท่านจับนางมา กัวมู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนแห่งทัพทหารสวรรค์ หากราชามังกรไม่ยอมรับ ข้าคงต้องไปรายงานสวรรค์ เชิญคนมาเสาะหา”
สีหน้าของอ๋าวเชินเปลี่ยนไป ลุกขึ้นพูด “เจ้ากล้า!”
“เช่นนั้นท่านไม่ลองดู” ลู่ยานิ่งสงบ สายตากลับมีความเยียบเย็น
อ๋าวเชินชะงักไป
แต่เดิมเขาได้ยินว่ามู่จิ่วเป็นคนของทัพทหารสวรรค์ จึงใช้วิญญาณน้ำแข็งผนึกพลังหยั่งรู้ของนางไว้ คิดไม่ถึงว่ายังทำให้เจ้าซ่านเซียนคนนี้ล่วงรู้ได้!
แต่คำที่เขาแย้งมาไม่มีความหมาย หากไปฟ้องสวรรค์ ยังไงเขาก็ต้องร้องหาความยุติธรรมแทนเฉินผิง!
เขานั่งลงไปอีก ทำหน้านิ่งมองลู่ยา “ลูกข้ายังเป็นถึงเผ่าพันธุ์มังกร! ได้กฎสวรรค์คุ้มครอง! กัวมู่จิ่วคนนั้นสังหารลูกข้า วันนี้ข้าจับนางมาจริง แต่หากเจ้าคิดพานางไป กลับไม่ง่ายขนาดนั้นนัก!”
“ถึงแม้มู่จิ่วสังหารเฉินผิง แต่นั่นเป็นเพราะเฉินผิงทำเรื่องชั่วช้าก่อน เขาไม่ใช่สัตว์ปีศาจที่ปกป้องดอกบัวกลีบม่วง แต่กลับออกมาทำเรื่องต่ำช้า ถึงแม้มู่จิ่วสังหารเขา นั่นก็เพราะมีเหตุอยู่ก่อนแล้ว”
“มีเหตุไม่มีเหตุอะไร!” อ๋าวเชินตบโต๊ะ “สรุปคือลูกข้าไม่ใช่สัตว์ปีศาจ สังหารคนต้องชดใช้ ติดหนี้ต้องคืนเงิน นี่คือหลักของสวรรค์ที่มีมาช้านาน!”
ลู่ยาถอนหายใจยาว “หากเจ้าต้องการยืนกรานว่าเฉินผิงเป็นเผ่าพันธุ์มังกร ได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ มู่จิ่วเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ก็ต้องได้รับการคุ้มครองเหมือนกัน เจ้าไม่อาจวางอำนาจทำร้ายชีวิตผู้อื่น!”
“ข้าไม่คิดมากขนาดนั้น!” อ๋าวเชินเดินลงมาจากชั้นหยก กัดฟันพูด “ข้าต้องการให้นางชดใช้ด้วยชีวิต!”
ลู่ยาไม่พูดแล้ว ถกเถียงกับคนแบบนี้ชัดเจนว่าเปลืองน้ำลาย
เขานิ่งไปเล็กน้อย เดินขึ้นไปสองก้าว ก่อนพูด “เรื่องนี้หากราชามังกรไม่คิดจะประนีประนอม คงทำได้เพียงเชิญทัพทหารสวรรค์มาตัดสินแล้ว” พูดจบเขาก็หยิบนกกระเรียนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ ทิ้งลงไปนอกประตู นกกระเรียนนั้นกระพือปีกลอยออกไปนอกวังมังกร…
อ๋าวเชินเพิ่งเคยเห็นนกกระเรียนกระดาษที่สามารถบินในน้ำได้ครั้งแรก ตอนนี้จึงสำลักจนพูดอะไรไม่ออก
……………………………………