เหล่าเผ่าพันธุ์น้ำล้วนบำเพ็ญธาตุน้ำ หากไร้วิชาน้ำก็จะพ่ายแพ้หมดรูป ภาพมายาของจิ้งจอกเก้าหางยอดเยี่ยมตรงที่ภาพนั้นเหมือนจริงอย่างมาก จริงจนกระทั่งทุกเม็ดทรายและหินเหมือนกับย้ายฟ้าดินมา! เมื่อผืนทรายแดดแผดเผาปรากฏ บวกกับพิธีบูชายัญเทพไฟที่อ๋าวเจียงจัดขึ้นเอง จึงทำให้เขามึนงงจนไม่รู้เหนือใต้!
มู่จิ่วที่อยู่ทางทะเลทรายนี้ถือโอกาสโจมตี จู่โจมเขาจนหน้าจูบดินโดยไม่เสียพละกำลังแม้แต่น้อย!
“องค์ชาย!”
ขุนนางเต่านอกประตูนำทหารล้อมเข้ามาปกป้องอ๋าวเจียง อ๋าวเจียงกระอักเลือดออกมา มองดูภาพมายาที่หายไปและมู่จิ่วที่ถูกแขวนแกว่งไปมาอยู่กลางอากาศอย่างโกรธแค้น ทำท่าจะเข้าไปอีกที ขุนนางเต่ารีบจับเขาไว้แน่น “องค์ชาย ไม่อาจหุนหันพลันแล่น! นายทหารกัวเป็นเจ้าหน้าที่ที่สวรรค์ส่งมา พวกเราต้องปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท!”
เขาเป็นขุนนางผู้ติดตามใกล้ชิด ใจอ๋าวเชินคิดการณ์ใดเขาย่อมรู้ดี เด็กสาวแซ่กัวผู้นี้สังหารลูกรักของราชา เรื่องแบบนี้หากเกิดกับพวกเขาต้องทนไม่ได้แน่! แต่อ๋าวเจียงก็ช่างไม่ระวังผลที่ตามมา ให้นางลำบากนิดหน่อยนับว่าได้ จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ท่าทางแบบนี้หากเขาปล่อยต่อไปต้องเสียหายแน่!
“ยังไม่รีบปล่อยนายทหารกัวอีก?!” เขาพยุงอ๋าวเจียง พาไปยังตำหนักข้างไปพลาง เรียกคนเข้าตำหนักไปพลาง
มู่จิ่วให้พวกเขาปล่อยนางลงมา จากนั้นก็นั่งอยู่ด้านข้างอย่างไม่สนใจและไม่หลีกไป บนแขนนางบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่สำคัญ นางได้รับความโกรธแค้นก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมถึงได้รับ!
สักพักขุนนางเต่าประคองอ๋าวเจียงกลับมา มู่จิ่วก็ดื่มชาของเขาไปหมดแล้ว
อ๋าวเจียงโกรธจนปากเบี้ยวตาขวาง แต่กลับยังอดทนเต็มที่
ขุนนางเต่าเดินเข้ามาพูด “เมื่อครู่เกิดเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ยังหวังว่านายทหารกัวจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
“เข้าใจผิด?” มู่จิ่วแค่นเสียงเยาะเย้ย “ข้ากลับไม่รู้ว่าเรื่องเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร องค์ชายสามโปรดอธิบายให้ตัวข้าฟังหน่อย!”
อ๋าวเจียงกัดฟันส่งเสียงเยาะแล้วนั่งลงไป จ้องนางพลางพูด “ข้าไม่ใช่พูดแล้วหรือ? เจ้าชนข้า! และข้าเพียงลงโทษเจ้าเล็กน้อย แต่เจ้ากลับต่อกรข้า! อวี้ตี้ให้เจ้ามาที่ทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อชดใช้โทษ ท่าทางแบบนี้ของเจ้านับได้ว่าชดใช้โทษหรือ?!”
“ไม่ทราบว่าข้าชนองค์ชายได้อย่างไร? ไม่อย่างนั้นพวกเราไปสวรรค์ให้อวี้ตี้ตัดสินอย่างยุติธรรม ดูว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่ไร้เหตุผล?” มู่จิ่วไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ส่งสายตาดุร้ายไปให้ “คนบนสวรรค์มีความสามารถมากมาย หากต้องการรู้ต้นสายปลายเหตุที่มาที่ไปก็เป็นเรื่องง่าย องค์ชายกล้าไปหรือไม่?”
ใบหน้าขาวของอ๋าวเจียงอดกลั้นจนแดงขึ้นมา ยิ่งเข้าคู่กับดวงตาแดงก่ำเหมือนกุ้งที่เพิ่งสุกจากน้ำร้อน
ขุนนางเต่าเข้ามาไกล่เกลี่ย “นายทหารกัวเพิ่งมาถึง หากไม่ระมัดระวังทำอะไรสะเพร่าก็เป็นเรื่องยากจะหลีกเลี่ยง องค์ชายของพวกเราแต่ไหนแต่ไรให้ความสำคัญกับมิตรภาพ วันนี้บางทีอาจเพราะเพิ่งกลับมาจากข้างนอก อารมณ์ไม่คงที่นัก มาชนกันพอดีเช่นนี้จึงเกิดไม่สบอารมณ์ ตามความเห็นข้า เรื่องวันนี้ก็ปล่อยผ่านไปเสีย เชิญนายทหารกัวกลับไปปฏิบัติงานเถิด”
“พูดแบบนี้ข้าก็ต้องรับโชคร้ายไปเปล่าๆ หรือ?” มู่จิ่วส่งสายตาดุร้ายพุ่งตรงไปยังหน้าชราของขุนนางเต่า
ขุนนางเต่าเหงื่อตก รีบโค้งตัวลงเล็กน้อย “ข้าขออภัยพลทหารกัวด้วย”
มู่จิ่วร้องเฮอะครั้งหนึ่ง สีหน้าดูดีขึ้นหน่อย
แต่เดิมนางก็ไม่ได้มาก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล พูดอย่างไรคนเขาก็เป็นลูกหลานมังกรสายตรง นางเป็นเพียงแค่หัวเสินที่ทำหน้าที่ทหารเพียงห้าร้อยปี ตอนนี้ต้องการจัดการเขากลับเป็นเรื่องง่าย แต่หากยึดติดเอาความแค้นนี้ไว้ สำหรับอนาคตนางแล้วไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
ดูจากสีหน้าของอ๋าวเจียงแล้วต้องเจ็บไปไม่น้อยกว่านางแน่ นางถือโอกาสจบเรื่องไปแบบนี้ก็พอแล้ว
ดังนั้นจึงลุกขึ้นประสานมือให้อ๋าวเจียง ก่อนพูด “ในเมื่อแบบนี้ เช่นนั้นข้าขอลา”
มือทั้งสองของอ๋าวเจียงกำแน่นขณะประคองตัวไว้ กัดฟันแน่นจ้องนางเดินออกประตูไปถึงค่อยละสายตากลับมา
วังประจิมไสวไม่เอะอะโวยวายเหมือนทางวังเทียมบูรพา
ที่นี่เป็นวังพักผ่อนแห่งหนึ่งของวังมังกร ดังนั้นจึงต้องมีคนเฝ้า เพราะในลานโล่งปลูกดอกโบตั๋นม่วงไว้หลายต้น อ๋าวเชินมักจะมาชมดอกไม้ดื่มชาที่นี่บ่อยๆ ทุกวันถึงต้องมีคนมาปัดกวาดดูแลก่อน แต่เขตพลังที่ประตูวังกลับไม่สามารถปล่อยให้ใครมายุ่มย่าม การส่งคนมาอารักขาจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
ลู่ยานำทหารกุ้งหลายคนเดินไปรอบๆ ก็รู้ลักษณะพื้นที่คร่าวๆ แล้ว
จนกระทั่งเขาอยากเดินเข้าไปดูดอกโบตั๋นม่วงเหล่านั้นว่างดงามเพียงใด เพิ่งเดินถึงเขตพลัง เขตพลังที่แต่เดิมโปร่งใสบนผนังกลับปรากฏใบหน้าของอ๋าวเชินขึ้นมา “นายทหารลู่ ไม่มีเรื่องห้ามเข้าไปในตำหนัก!” ที่แท้เขตพลังนี้อ๋าวเชินสร้างขึ้นมาเอง เขาจะอนุญาตให้ใครเข้า ไม่ให้ใครเข้า ก็ล้วนรู้ได้ทันที!
เป็นเพียงแค่วังเปล่าที่ปลูกโบตั๋นม่วงไม่กี่ต้นเท่านั้น จัดการเข้มงวดขนาดนี้ หรือดอกไม้นั้นมีอะไรพิเศษ?
“อ๊า!”
ลู่ยากำลังเท้าคางครุ่นคิด นอกประตูก็มีเสียงตกใจเบาๆ ดังเข้ามา
เขาเดินออกไปตามเสียง เป็นสาวน้อยสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน ไม่รู้ว่าอะไรหล่นเข้าไปในซอกหินด้านข้าง ตอนนี้มือหนึ่งกำลังจับกระโปรงพลางเอนตัวเอื้อมมือไป
ลู่ยาไม่คิดสนใจ แต่เพิ่งจะหมุนตัว สาวน้อยคนนั้นเกิดเหยียบหินเล็กๆ เข้า ลื่นไถลจะตกลงไปข้างล่าง ลู่ยาจึงยกแขนเสื้อส่งพลังลมปราณไป ตรึงร่างของนางไว้
“รบกวนแล้ว!”
สาวน้อยลงมายืนกับพื้น ตรงเข้ามาขอบคุณอย่างสุภาพ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา สายตากลับละไปช้าอยู่บ้าง นางยิ้มให้เขา จากนั้นจึงพูด “ให้ท่านเห็นเรื่องน่าหัวเราะแล้ว พัดของข้าตกลงไปในซอกหิน คิดจะเก็บ แต่ไม่นึกเลยว่าเกือบหล่นลงไป”
ลู่ยากอดอกเลิกคิ้ว ไม่คิดจะตอบคำ
สาวน้อยเพียงใช้เวทของตนดึงเอาพัดในซอกหินออกมา
ลู่ยาเห็นนางใช้นิ้วปล่อยพลังออกมา พลันพูดว่า “นี่มิใช่วิชาที่เจ้าเรียนที่เผ่าพันธุ์มังกรหรือ?”
เด็กสาวชะงักไปเล็กน้อย หมุนตัวมาหาเขา “ข้าคืออ๋าวเยวี่ยบุตรสาวคนโตของราชามังกร เจ้าคือ?”
“ลู่หยา” ลู่ยาเลิกคิ้ว “เป็นคู่หมั้นของกัวมู่จิ่วที่วันก่อนอวี้ตี้ส่งมาปฏิบัติงานที่วังมังกรห้าเดือน”
อ๋าวเยวี่ยกะพริบตา พลันปิดปากหัวเราะ
“เจ้าคนนี้ ข้าเพียงถามเจ้าว่าชื่ออะไร แม้แต่เรื่องคู่หมั้นเจ้าก็พูดออกมาหมด”
พูดจบก็เพ่งมองเขาอย่างตั้งใจ
ลู่ยาไม่อดทนให้นางจ้องเขาแบบนี้ มุมปากยกขึ้นมา จากนั้นก็กลับเข้าไปในวัง
หลังมู่จิ่วออกมาจากวัง นางหยิบเม็ดยาล้างเลือดกินเข้าไปหยุดเลือด ยารักษาบาดแผลไม่อยู่กับตัว จึงใช้ผ้าเช็ดหน้ากดแผลไว้ เลิกงานแล้วกลับไปในค่ายบัญชาการ จึงค่อยเริ่มล้างและใส่ยา
ตอนลู่ยากลับมา นางกำลังเลิกแขนเสื้อขึ้นมาครึ่งหนึ่งเพื่อใส่ยา เขาเห็นแล้วจึงขมวดคิ้วทันที “เจ้าทำอะไรมา?”
“อย่าพูดถึงเลย” มู่จิ่วพูดอย่างอารมณ์ไม่ดี และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้เขาฟัง
สายตาลู่ยาเย็นเยียบลง เขาไม่ได้ถอดเกราะก็นั่งลงไป จับแขนนางแล้วพูด “เจ้าคนชั่วช้านั่น กลับกล้าปฏิบัติต่อเจ้าแบบนี้?”
มู่จิ่วรีบเอ่ย “เขาทำอะไรข้าไม่ได้ เขาก็เสียเปรียบไปไม่น้อยภายใต้เงื้อมมือข้า”
…………………………………………………………………