นางเงียบอยู่นานบนยอดหลังคา ก่อนพลันกระโดดลงมายังพื้น ลูบหัวอาฝูก่อนเดินเร็วๆ ไปทางเหนือ
คราวก่อนตอนอยู่ที่วังมังกร นางไม่เคยเข้าใกล้วังเพลงวิหคมาก่อน แต่นางกลับเดินผ่านอยู่บ่อยๆ ตลอดทางเดินนางเจาะจงเดินไปยังเส้นทางที่ไม่มีคน ไม่นานก็ถึงกำแพงด้านตะวันตกของวังนั้นแล้ว
อาฝูแสร้งทำเป็นแมวน้อยมาตลอดทาง สุดท้ายทนไม่ได้จึงกัดขากางเกงนาง
มู่จิ่วนั่งยองลงไป จับหูอ้วนๆ ของเขาออกพลางพูด “เจ้าเปลี่ยนร่างให้ใหญ่หน่อยแล้วยืนขึ้น ข้ายืนมองอยู่บนหลังเจ้าน่าจะดี?”
อาฝูถูไถซอกคอนาง ก่อนเรียกพลังเปลี่ยนร่างเป็นเสือขนาดจั้งกว่ายืนนิ่งอยู่ข้างกำแพง มู่จิ่วขึ้นไปข้างบน มือจับกำแพงมองไปข้างใน
นางไม่กล้าเรียกพลังขี่เมฆ เพราะเพียงพลังลมปราณเคลื่อนไหว อากาศรอบด้านก็จะเคลื่อนไหวด้วย พลังบำเพ็ญของราชินีไม่ต่ำต้อย นางต้องรู้สึกได้
แต่อาฝูไม่เหมือนกัน เขาเป็นสัตว์เทพ มีพรสวรรค์พิเศษ ทั้งวังมังกรล้วนเป็นเผ่าพันธุ์มังกร ถึงเขาจะเรียกพลังออกมาก็ไม่ทำให้คนรู้สึกได้
แต่ในกำแพงไม่มีอะไรผิดปกติ
มู่จิ่วกลับไม่ได้ผิดหวังอะไร
แต่เดิมนางมาแอบมองคนเขาก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรอยู่แล้ว
มองไปอย่างละเอียดอีกที ก็ยังคงไม่มีอะไร และสามารถพูดได้ว่าปกติจนถึงไม่มีสิ่งผิดปกติเลย
ดูแล้วราชินีมังกรคงเคยชินกับชีวิตที่ไร้ชีวิตชีวานานแล้ว
นางกระโดดลงจากหลังเสือ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนให้อาฝูหดกลับร่างเดิม ก่อนกลับไปตามทางที่มา
เลี้ยวผ่านกำแพงวัง กำลังจะกระโดดขึ้นไปบนระเบียงทางเดิน นางกลับได้กลิ่นธูปลอยมาจากด้านในประตูวัง จึงพลันชะงักเท้า
อยู่ในวังมังกรมาสองเดือน นางไม่เคยเห็นที่นี่บูชาเทพอะไรมาก่อน
ตัวพวกเขาเองก็เป็นเทพดูแลฝน ไหนเลยจะต้องบูชาผู้อื่นอีก?
แต่กลิ่นธูปนี้กลับไม่ใช่ของปลอม…
นางคิดๆ แล้วเลี้ยวผ่านกำแพงช่วงนี้ไปด้านหน้า ทำทีเป็นเดินช้าๆ อยู่บริเวณใกล้เคียง พูดกับหญิงรับใช้ที่เดินออกมาจากประตูวัง “คิดไม่ถึงว่าใจราชินีจะคิดถึงราชามังกรแบบนี้ ยังขอพรแทนองค์ราชาในวัง”
นางอยู่ที่วังมังกรสองเดือน ทุกคนล้วนรู้จักนาง หญิงรับใช้ผู้นี้ได้ยินก็ยิ้ม “เหนียงเหนียงบูชาเทพจู้หรง (เทพแห่งไฟ) ”
พูดจบคางของหญิงรับใช้ก็เชิดขึ้น แล้วจึงเดินจากไป
เทพจู้หรง…
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปทันที
ในวังใหญ่ห่างไปหนึ่งลานที่พัก ราชินีมังกรกำลังดื่มชา ทุกวันหลังอาหารค่ำ นางชินกับการดื่มชาสดที่งอกเงยในหุบเขาลึก เพราะมีเวลามาก ดังนั้นแม้แต่ใบชาก็เป็นนางคั่วเอง อยู่วังมังกรนี้มาหลายหมื่นปี เรื่องอื่นนางเรียนไม่เป็น แต่กลับเรียนรู้ศิลปะการชงชาสำเร็จ
“รายงานราชินี ใต้เท้ากัวจากสวรรค์ที่คราวก่อนมาปฏิบัติงานที่วังมังกรของเราขอพบ”
นางกำลังยกพู่กันขึ้นบันทึกรสชาติของชาเหล่านี้ หญิงรับใช้ก็เดินก้าวเล็กๆ เข้ามารายงาน
พู่กันในมือนางชะงัก แต่หยุดได้ไม่นาน ก็จรดปลายพู่กันลงไป
จนเขียนจบไปสองแถว นางจึงเงยหน้าขึ้น “เชิญเข้ามา”
มู่จิ่วพาอาฝูก้าวเข้ามาในตำหนักใหญ่ เข้าประตูมาก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นของชาลอยอยู่ในห้อง
ราชินีนั่งอยู่ตรงฝั่งตะวันออกของตำหนัก บนโต๊ะกลมข้างกายนางมีชาสดใหม่ตะกร้าหนึ่ง มู่จิ่วเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่ากลิ่นชายิ่งเข้มข้นขึ้น
ราชินีมังกรยืนขึ้นมา “แม่นางมาเยือนวังนี้ มีเรื่องอันใดหรือ?”
มู่จิ่วพยักหน้าก่อนพูด “วันก่อนองค์ชายสามอ๋าวเจียงไปหน่วยลาดตระเวน ต้องการให้ข้าไปทิวเขาริ้วหยกกับเขาเพื่อทวงกุญแจจันทราหยินและหาที่อยู่ขององค์หญิงอ๋าวเยวี่ย ไหนเลยจะรู้ว่าทางนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น จึงผิดหวังกลับมา ข้าผ่านสวนดอกไม้ด้านหน้า นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มาเยี่ยมคารวะ ดังนั้นเลยมาเสียหน่อย”
ราชินีพยักหน้า “แม่นางช่างใส่ใจ”
ทั้งสองฝั่งแยกที่นั่งแขกกับเจ้าบ้านชัดเจน ไม่พูดถึงเรื่องมีคนยกชากับผลไม้สดมา มู่จิ่วมองใบชาในตะกร้าอย่างละเอียด เห็นแต่ละใบยาวเพียงเล็บมือ มากที่สุดคือใบชาสองใบ บนใบชาล้วนมีขนสีขาวติดอยู่ นางอดพูดไม่ได้ “ชาของภูเขาหิมะที่ทะเลสาบน้ำแข็งต้องต่างจากข้างนอกมาก คิดไม่ถึงว่าราชินียังมีฝีมือด้านศิลปะการชงชาด้วย”
ราชินีพูด “หรือแม่นางก็รู้เรื่องชา?”
“ไม่นับได้ว่ารู้ลึกซึ้ง เพียงแค่ชาที่แต่ก่อนดื่มล้วนเป็นชาที่เก็บเองบนเขา ดังนั้นจึงรู้เล็กน้อย”
ราชินีพยักหน้า ย้ายตะกร้าชาไปยังฉากกั้นลมด้านข้าง
มู่จิ่วไม่แสดงออกอะไร หมุนแก้วชาในมือพลางมองประเมินฉากกั้นลมนี้
ฉากกั้นลมคงทำจากผ้าทอนางเงือก โปร่งแสงและมีสีที่ระยิบระยับ ด้านบนปักลายยวนยางในสระบัว ไม่ต่างกับภาพของผู้สูงศักดิ์ในโลกมนุษย์ ไม่เก่าแก่และไม่มีกลิ่นอายเซียนอะไร กลับดูติดดินอย่างมาก
ด้านหลังฉากกั้นลมมีชั้นวางของขนาดใหญ่ วางของวิเศษมีค่าที่มู่จิ่วเคยเห็นมาน้อยมาก นอกจากนั้นยังมีของใช้หยกของใช้เหล็กสำริดสลักสวยงาม ล้วนไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก เพียงแต่สิ่งเดียวที่แตกต่างคือ แท่นบูชาที่วางอยู่ที่มุมทางตะวันออกเฉียงเหนือของตำหนักใหญ่ ข้างบนวางรูปหล่อทองของเทพแห่งไฟ
“แม่นางดูอะไรอยู่?”
ราชินีรู้สึกได้ถึงสายตาจับจ้องของนาง จึงเอ่ยปากถาม
มู่จิ่วละสายตากลับมา ก่อนพูด “ข้าเพียงได้ยินว่าเทพจู้หรงได้รับความเคารพบูชาอย่างมากในโลกมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าราชินีก็เคารพเขาเช่นนี้ด้วย”
สีหน้าของราชีนีชะงักไปครู่ ก่อนกล่าว “เทพจู้หรงกับเหม่ารื่อซิงจวินก็เหมือนกัน เป็นเทพที่ควบคุมแสงสว่าง ใครกล้าไม่เคารพ”
มู่จิ่วยกริมฝีปาก “แต่เผ่าพันธุ์มังกรที่เป็นเทพน้ำกลับบูชาเทพไฟ ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้คนรู้สึกแปลกใจ”
ราชินีมังกรเม้มปากไม่พูด
มู่จิ่ววางแก้วชาลงก่อนพูดต่อ “องค์หญิงอ๋าวเยวี่ยหายตัวไปนาน ไม่รู้ว่าราชินีคิดถึงบ้างหรือไม่?”
สีหน้าราชินีมังกรไม่มีอะไรเปลี่ยน
นางยังไม่ทันพูด มู่จิ่วกลับเอ่ย “ต้องขอโทษอย่างมากที่คราวนี้ไม่อาจถามถึงที่อยู่ขององค์หญิงจากทิวเขาริ้วหยกได้ แต่มีเรื่องที่สามารถทำให้ราชินีดีใจได้ ข้ากับองค์ชายสามไปที่นั่นครั้งนี้ พบว่าอวิ๋นฉัวองค์ชายรองผู้แบกรับชะตาของเผ่าหงส์เพลิงไว้ตายแล้ว”
ราชินีชะงักเล็กน้อย มองนางนิ่งๆ คราหนึ่ง “อ้อ?”
มูจิ่วพูดอีก “ข้าได้ยินว่าไม่เพียงลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นตายแล้ว ทว่ากุญแจจันทราหยินที่ปีนั้นให้แก่ตระกูลอวิ๋นก็ถูกราชามังกรนำกลับมาแล้ว”
ราชินีมองผ้าม่าน ไม่พูดสิ่งใด สีหน้ากลับค่อยๆ แข็งค้าง
“อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ราชามังกรคิดไม่ถึงคือ ตอนที่นำกุญแจจันทราหยินกลับมาอย่างดีใจ กุญแจจันทราหยางที่สำคัญอีกดอกกลับหายไป ตอนนี้ลมหายใจที่ยังคงอยู่ของราชาล้วนพึ่งพากุญแจจันทราหยินประคับประคองไว้ สามารถพูดได้ว่า เขานำกุญแจจันทราหยินไปทำให้อวิ๋นรองตาย แต่ขณะเดียวกันเขากลับไปอยู่ในสภาวะเดียวกับอวิ๋นรองแทน”
“แม่นางบอกเรื่องเหล่านี้กับข้าทำไม?” น้ำเสียงราชินีมังกรยังคงนิ่ง “เขาป่วยถึงขนาดนั้น ไม่ใช่ข้าเป็นคนทำเสียหน่อย”
“ราชินีทำไมถึงรู้ว่าอาการป่วยของราชามังกรไม่ใช่ท่านทำ?” มู่จิ่วจับคำพูดสุดท้ายของนางก่อนเอ่ยถาม สองตาสว่างระยิบระยับ ราวกับคำพูดนี้ของราชินีมังกรคือสิ่งที่นางรออยู่
ราชินีชะงักไป เนิ่นนานกว่าจะพูด “ความหมายของเจ้าคือข้าบกพร่องในการดูแลเขา?”
“นั่นกลับไม่ใช่” มู่จิ่วพูด “ความหมายของข้าคือ ราชินีดูแล้วเหมือนกับรู้เรื่องที่จิตต้นกำเนิดของราชามังกรเสียหายนานแล้ว”
พูดแล้วนางก็ยืนขึ้น เดินไปพูดยังหน้าตะกร้าชาตรงฉากกั้นลม “ห้าพันปีก่อน ตอนนั้นราชามังกรยังคงเป็นสามีที่จงรักภักดีต่อครอบครัว ตอนนั้นถึงแม้ราชินีกับเขาไม่นับว่ารักกัน แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาคุณธรรมของคู่สามีภรรยา”
…………………………………………………………………