อ๋าวเชินพูดไม่ออก
มู่จิ่วยิ้มเยาะเย้ยก่อนเอ่ยอีก “ข้าไม่ใช่พูดหรือ ราชามังกรนับว่าเป็นผู้ที่มีลูกชายลูกสาวเป็นโขลงแล้ว ถึงแม้ไม่คิดถึงภรรยา ดีร้ายก็ควรคิดถึงเหล่าลูกชายลูกสาวของเจ้า เจ้ารู้ชัดว่าอวิ๋นเฉี่ยนมีแผนด้วย ยังพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างไม่รู้สึกผิด หาได้นึกไม่ว่าคนบนโลกนี้ไม่ใช่คนโง่ทั้งหมด เจ้าที่รู้ทันอวิ๋นเฉี่ยนมาก่อน เป็นธรรมดาว่าต้องรู้ทันราชินีของเจ้า”
“ที่จริงมีชีวิตที่สงบเงียบก็ไม่เลวมากแล้ว ไม่รู้ทำไมเจ้าไม่ลองเปลี่ยนวิธีคิดถึงปัญหา? ดึงดันทำแบบนี้ ไม่รู้ถึงท้ายที่สุดแล้วเจ้าได้อะไรบ้าง?”
อ๋าวเชินละอายจนไม่กล้าสู้หน้า แม้แต่ศีรษะก็เงยไม่ขึ้น
มู่จิ่วไม่คิดวุ่นวายกับเขามาก จึงยืนขึ้น “คดีถูกคลี่คลายแล้ว ข้าต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ เพียงแต่ข้ายังมีคำถามเรื่องอื่นอยากถามราชามังกร เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับตระกูลอวิ๋น?”
ถึงแม้ทั้งสองฝั่งล้วนไม่จริงใจ แต่เมื่อกล่าวถึงการสูญพันธุ์แล้ว ออกจะหนักหนาไปเสียหน่อย
ตระกูลอวิ๋นจบสิ้นแล้ว ทั้งฟ้าดินก็ไม่มีเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงอีก
สำหรับวิถีแห่งฟ้าแล้ว เช่นนี้จะยุติธรรมหรือไม่?
ตั้งแต่แรกอ๋าวเชินรู้ว่าคนเขามาเพื่ออะไร กลับยังทำตัวฉลาดก่อเรื่องจนถึงขั้นนี้ หากเขาปฏิเสธแต่แรกหรือพูดให้ชัดเจน ตระกูลอวิ๋นคงยังสามารถคิดหาหนทางอื่นได้
แต่เขาอย่าหวังว่าจะสำเร็จหากไม่ยอมจ่ายอะไรเลย สุดท้ายถึงเวลาสำคัญยังหลอกลวง ทำร้ายจนทุกวันนี้ตระกูลอวิ๋นทำได้เพียงรอวันเผ่าพันธุ์สูญสิ้นมาถึงเท่านั้น หรือว่าเขาไม่ต้องรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย?
และในความเป็นจริง ถึงแม้เขาคิดไม่ชดใช้หนี้ ไม่ช้าก็เร็วตระกูลอวิ๋นคงมาหาถึงประตูกระมัง?
ในฐานะที่เป็นผู้ดูอยู่วงนอก นางไม่หวังให้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงหายไปจากหกภพแบบนี้
อ๋าวเชินเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองก่อนพูด “ข้าจะลองไตร่ตรองให้ละเอียด”
มู่จิ่วกลับไม่ได้พูดอะไรอีก สุดท้ายอ๋าวเชินตัดสินใจจะทำอย่างไรกับตระกูลอวิ๋น นางก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ อย่างมากที่สุดคือเพียงเตือนๆ เขาเท่านั้น สรุปคือนางยังหวังว่าสุดท้ายเรื่องนี้จะมีบทสรุปที่ดีทั้งสองฝ่าย เหมือนกับนางในตอนแรกที่สังหารเฉินผิงอย่างไม่ได้ตั้งใจและชดเชยความผิดแล้ว
ส่วนเรื่องเอากุญแจจันทราหยินให้เฉินผิง อ๋าวเจียงคงจะไปจัดการอยู่
นางประสานมือคารวะ ก่อนเดินออกประตูไป
ชุนนางเต่ารั้งนางครั้งแล้วครั้งเล่าให้พรุ่งนี้เช้าค่อยไป แต่นางไม่อยากอยู่ที่วังมังกรเวรนี่ต่อไปแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นเฉี่ยนก็ดี อ๋าวเชินก็ดี หรือราชินีก็ดี ระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยแผนการมากมายเกินไป นางมองดูแล้วรู้สึกเหนื่อยใจ
อ๋าวเจียงยืนกรานไปส่งนางกับอาฝูที่ริมทะเลสาบ ส่งไประยะแล้วระยะเล่า ท้ายสุดเมื่อส่งไปไกลมากแล้ว จึงได้เพียงแต่หยุดลง
“ภายหลังข้าสามารถไปหาเจ้าได้หรือไม่?” เขาพูดตะกุกตะกัก
มู่จิ่วคิดบอกปัด แต่เห็นเขานางก็อดคิดถึงเรื่องเวรทั้งหลายของบ้านเขาไม่ได้ นางเห็นเขาจริงใจ และในใจเพิ่งได้รับความบอบช้ำในช่วงเวลาอ่อนไหว เพื่อไม่ให้เด็กน้อยเจ็บปวดใจอีก จึงทำได้เพียงพยักหน้า “ไม่มีเรื่องอะไรก็มาเที่ยวเถิด”
แต่เดินไปได้สองก้าว นางกลับหันมาพูด “หากมีข่าวอะไรของตระกูลอวิ๋น เจ้าบอกข้าสักหน่อย ยังมีเรื่อง
ที่พ่อเจ้าได้รับบาดเจ็บที่คุนหลุนตะวันออก หากเขาคิดอะไรออกก็บอกข้า”
เรื่องของคุนหลุนตะวันออกก็ประหลาดมาก สามารถเล่าให้ลู่ยาฟังเพื่อให้เขาใช้เป็นหัวข้อศึกษาในยามว่าง
อ๋าวเจียงพยักหน้า นางถึงได้ปีนขึ้นบนอาฝู มุ่งไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
ครั้งนี้ลู่ยาไม่ได้ตามมู่จิ่วไปทิวเขาริ้วหยก หนึ่งเพราะนี่เป็นการทำงานปกติ นางพาอาฝูไปฝึกฝนด้วยกันก็ดีหน่อย อีกอย่างคือหากเขาตามไปอยู่ข้างกายนางเสมอ ความโชคร้ายที่เหลือของเขาก็จะไม่หมดไปเสียที เขาใช้โอกาสนี้ออกไปเดินเล่นข้างนอกระหว่างวันหลายรอบ ประสบความสำเร็จล้มกลิ้งลงไปหลายครั้ง และตกลงไปในทะเลสาบอย่างราบรื่นหลายครา ถึงได้คลุมร่างด้วยเสื้อเปียกก้าวกลับบ้านไปตอนประอาทิตย์ตกดิน
ขณะกำลังอาบน้ำก็ได้รับกระเรียนกระดาษจากมู่จิ่ว หลังจากดูเสร็จเขานิ่งไปในน้ำสามวินาที
เขาก็คาดไม่ถึงว่าอ๋าวเชินจะอาศัยโอกาสตอนที่ตระกูลอวิ๋นคิดหาวิธีเล่นงานเขา วางแผนลงมือกับตระกูลอวิ๋นด้วย และยิ่งคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นรองตายแล้วจริง…เขาตายไม่สำคัญ ถ้าเช่นนี้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงก็จะจบสิ้นไป
ตระกูลหงส์เพลิงไม่ได้ทำบาปใหญ่อะไรไว้ จะยอมให้อ๋าวเชินทำให้สูญสิ้นไปเช่นนี้หรือ?
เขานับนิ้วทำนาย จากนั้นจึงอาบน้ำต่อ
หลังอาหารเย็น เขากระตุ้นรุ่ยเจี๋ยให้ฝึกพลังสักครู่ ก่อนขับเคลื่อนผังดวงชะตา ทั้งวันไม่เห็นหน้ามู่จิ่ว ในใจรู้สึกแปลกพิกล กำลังคิดว่าจะไปวังมังกรหรือไม่ กลับได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามาจากนอกประตู ครั้นฟังอย่างละเอียดอีกที ร่างกายกลับยืนขึ้นเองอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเปิดประตูไปยังระเบียงทางเดิน ก็เห็นหนึ่งคนหนึ่งเสือเดินย่องเข้ามาในลานบ้าน
“อาฝูเจ้า ต้องลดความอ้วนแล้ว อุ้งเท้าตบพื้นเสียงดังขนาดนี้…”
เสียงกระจ่างใสของเด็กสาวจงใจกดให้เบาลง ทั้งยังเจือไปด้วยการบ่นสองส่วน
เสียงแปะแปะของอุ้งเท้ากระทบพื้นจึงเบาลงหน่อย เสือที่อ้วนขนาดนั้น เกือบจะกลิ้งติดพื้นไปแล้ว
ใจเขานึกขบขัน คิดจะส่งเสียงทักทาย แต่เห็นนางดูอ่อนล้าทั้งร่าง จึงล้มเลิกความคิด กลับเข้าห้องไปเงียบๆ
มู่จิ่วนอนเต็มอิ่ม
ตอนเช้านางตื่นขึ้นมาท่ามกลางนกกระจาบฝนและกลิ่นดอกไม้เต็มลาน เพิ่งเปิดตาขึ้นก็เห็นหน้าเตียงมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน นางตกใจจนกอดผ้าห่มนั่งขึ้นมาทันที
ลู่ยาหันมาพูด “ไม่ได้เห็นผีเสียหน่อย ท่าทางแบบนี้คืออะไร” พูดจบค่อยลูบใบหูนาง “แต่เจ้าระแวดระวังแบบนี้ข้าก็ดีใจ คราวต่อไปหากเจอคนอื่นกล้าเข้ามาในห้องเจ้า เจ้าไม่ต้องหลบ ไม่ว่าเขาเป็นใคร สำหรับคนแบบนี้ฟาดไปตรงๆ ก็พอ เดี๋ยวข้าเก็บกวาดให้เจ้าเอง”
มู่จิ่วส่งเสียงออกทางจมูกสองครั้ง ไม่สนใจเขา
ท่านเป็นมหาเทพเซียน ต้องพูดว่าฟาดใครก็ฟาดคนนั้นอยู่แล้ว นางเป็นหัวเสินคนหนึ่ง ฟาดคนไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ?
อีกอย่าง หากนางฟาดได้ ก็ลองฟาดเขาก่อนเป็นอย่างไร
“ข้าเฝ้าเจ้ามาทั้งเช้า ไม่มีผลงานก็มีความบากบั่น ทำไมเจ้าเห็นข้าแล้วส่งเสียงออกจมูกได้” ลู่ยาหันตัวมา ท่าทางต้องการพูดคุยปัญหานี้กับนางอย่างมาก
มู่จิ่วเหลือบมองเขา พลันยื่นมือผลักหน้าเขาไปด้านหลัง จากนั้นคลุมเสื้อลงจากเตียง
ถึงหน้าต่างมองออกไปข้างนอก เห็นเพียงรอบด้านสงบเงียบ มีเพียงเสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นกำลังยุ่งอยู่ในลานด้านหน้า
แต่พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว นาฬิกาน้ำบนโต๊ะชี้ไปยังยามเฉิน
แสงอาทิตย์ส่องสว่างสวยงามไปทั้งลาน หมอกบางลอยวน นกน้อยบินไปบินมาบนกิ่งไม้ ชายคาบ้านไม่รู้มีนกนางแอ่นที่ไหนมาทำรัง แถวนกน้อยอ้าปากรอแม่นกให้อาหาร น้ำค้างบนดอกโบตั๋นแดงที่เพิ่งบานได้แปดเก้าส่วนยังไม่แห้ง ส่องสว่างลงบนจื่อเถิงสีม่วงอ่อนสองต้น งดงามเสียจนพรรณนาไม่ได้
แบบนี้เทียบกับความเสื่อมโทรมของทิวเขาริ้วหยกและความทะมึนของวังมังกร ไม่รู้ว่าสบายตากว่าเท่าไหร่
“ทำไมเจ้าไม่ปลุกข้า?”
นางกลับไปหวีผมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ลู่ยานั่งลง กอดเข่าที่งอขึ้นข้างหนึ่งพลางพูด “ข้าฟังคำพูดนี้ของเจ้า เหมือนเมื่อคืนพวกเราอยู่ด้วยกัน”
ลำคอของมู่จิ่วเปลี่ยนเป็นสีแดง เดินไปดึงหมอนออกจากหลังศีรษะลู่ยาแล้วทุบลงบนหน้าเขา จากนั้นสะบัดหน้าวิ่งออกไป
“เจ้าเด็กบ้า ตีข้าอีกแล้ว! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
ลู่ยาหยิบหมอนวิ่งตามออกไป ดอกท้อถูกพัดไปตลอดทาง
รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูนั่งเรียงกันเล่นพันเชือกอยู่บนหินใต้ต้นท้อ ก็ถูกลมที่พวกเขาพามาทำให้ขนชี้ปลายเสื้อปลิว โลกของอาจารย์พวกเขาไม่เข้าใจ เหลือไว้แค่ความวุ่นวายในสายลม
………………………………………………………………