ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 213 ข้าผิดเอง

บทที่ 213 ข้าผิดเอง

“เกิดอะไรขึ้น?!”

ไกลออกไปพลันมีเสียงซ่างกวนสุ่นดังมา จากนั้นอ๋าวเชินปรากฏตัวขึ้น อวิ๋นฉัวกับอาฝูก็โผล่ออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งด้วย

เห็นภาพแบบนี้ทุกคนล้วนตะลึงงัน!

ต้นไม้ล้อมรอบป่าด้านนอกระเนระนาดไปทั้งผืน ภูเขาหลายลูกรอบด้านถูกฟันจนกลายเป็นกองหินระเกะระกะ ทั้งร่างมู่จิ่วที่อยู่กลางอากาศเต็มไปด้วยเลือด กำลังต่อสู้กับลู่ยาเหมือนเป็นอีกคน! นางต่อสู้กับลู่ยา! นาง! นางที่แม้แต่เทพเซียนยังไม่ได้เป็น!

ไม่เพียงต่อสู้กันเท่านั้น การโจมตีของนางกำลังบีบคั้นกดดันลู่ยาให้ถอยร่นไปทีละก้าว ลู่ยาถึงแม้ยังไม่เห็นลางแพ้ แต่กลับเพียงตั้งรับไม่โจมตี ไม่เพียงไม่โจมตี แม้แต่พลังลมปราณก็ไม่ได้ใช้ออกมาเต็มกำลัง!

แต่มู่จิ่วแสดงที่ท่าต้องการเข่นฆ่า นางต้องการสังหารลู่ยา!

ไม่มีใครสามารถอธิบายเหตุการณ์นี้ได้ และยิ่งไม่มีใครสามารถครุ่นคิดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เรื่องเหนือความคาดหมายเช่นนี้มีใครเดาออกได้บ้าง?

มีคนต้องการสังหารลู่ยา ใครจะสามารถหยุดยั้งได้?

ทุกคนล้วนถูกตรึงนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ควรออกหน้าไปหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่ามีความสามารถจะออกหน้าไปหรือเปล่า!

ลู่ยานั่งอยู่บนแท่นดอกบัวทองสามสิบหกชั้น มองดูกระบี่ที่ทิ่มแทงเขตพลังเข้ามาตรงๆ ไม่ขยับและไม่โจมตีกลับ

ไม่ใช่เขาหนีไม่ได้ ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่นางแบกพลังลมปราณทั้งร่างมา นี่คือทั้งหมดของนางแล้ว อีกอย่างนางคือจุดอ่อนของเขา เขาไม่อาจลงมือ ไม่อาจเสี่ยงอันตราย หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ในฟ้าดินก็ไม่มีนางอีกแล้ว

คมกระบี่นั้นเหมือนดาวตก เหมือนฟ้าแลบ ห่างจากเขาครึ่งลี้ สิบจั้ง สามฉื่อ เขาหลับตาลง คลายพลังลมปราณทั้งร่างลง เหมือนกับลูกแกะรอถูกเชือด ยอมรับการเชือดของนาง

นี่เป็นโอกาสที่ไร้ข้อผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวที่เขาทำได้ ตอนคมกระบี่สัมผัสถึงผิวกาย พลังฤทธิ์ของนางต้องทะลุเข้ามาทั้งร่างเขา เขามีโอกาสในพริบตานั้นใช้พลังบำเพ็ญอันไร้ขอบเขตกลับปกคลุมนาง พลังของนางก็จะถูกเขากดกลับไป

มู่จิ่วมองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนี้ ในใจพลันมีความไม่พอใจอันไม่คุ้นเคย เขาไม่เหมือนลู่ยา! ไม่เหมือนเลยสักนิด! ลู่ยาใส่เสื้อสีขาวแต่เขาใส่เสื้อสีดำ ลู่ยารวบผมเขากลับปล่อยผมยาว ตาของลู่ยาเหมือนดาวตก แต่ตาของเขากลับเหมือนสระลึก ความงามของลู่ยาเหมือนดวงอาทิตย์อันอบอุ่น แต่บนร่างเขากลับมีเพียงความเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง!

นางเพียงรู้ว่านางต้องการสังหารเขา นางต้องการสังหารเขา!

นางมองคมกระบี่แทงเข้าอกด้านหน้าเขาตรงๆ ไม่มีอะไรขวางกั้นแม้แต่น้อย เขาที่อยู่หน้ากระบี่เหมือนสงบนิ่งรอการแทงของนาง!

นางต้องการสังหารเขา นางต้องการสังหารเขา…

…แต่ ทำไมนางถึงอยากสังหารเขา?

เขาไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมนางต้องอยากสังหารเขา…

ในสมองของนางพลันปรากฏลำแสงกระจ่างวาบผ่านเข้ามา และเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ใต้หินที่พยายามงอกเงยขึ้นมาอย่างยากลำบาก!

ใบหน้าอบอุ่นปรากฏขึ้นมาบนหน้าที่เย็นชานั้น เป็นลู่ยา เป็นลู่ยา!

“คนที่บำเพ็ญเป็นเซียนไม่ใช่เพียงเพื่อหนทางอายุยืนไม่แก่เฒ่าเท่านั้น สำคัญที่สุดคือใช้วิชาเซียนเผยแพร่สั่งสอน สร้างสุขให้สรรพสัตว์…”

“จำไว้ให้ดีว่าจงใช้สำนึกดีเป็นหนทางในการดำเนินชีวิต…”

กำไลทองบนข้อมือมีเสียงเสียดหูดังขึ้นมาเป็นคลื่นๆ กระบี่ที่อยู่ห่างจากอกลู่ยาไปหนึ่งชุ่นหยุดลง!

“อาจารย์…”

นางพึมพำ ดวงตาทั้งสองมองไปข้างหน้า อาจารย์? นางนิ่งอึ้ง วินาทีถัดมา พลังฤทธิ์ที่หยุดลงกะทันหันผลักนางไปโดยไม่อาจรักษาท่วงท่าไว้ นางร้องเสียงขึ้นจมูกและกระอักเลือด คมกระบี่พุ่งไปข้างหน้า! แต่ก่อนที่จะพุ่งไปนางรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว…กระบี่ยาวร่วงลงไปใต้เมฆ นางปิดตาล้มลงไปข้างหน้า จมดิ่งลงไปเหมือนกับหิน!

“อาจิ่ว!”

ลู่ยาที่สงบใจรอโอกาสควบคุมนางหลังจากนางแทงเข้ามา คิดไม่ถึงเลยว่านางจะชักมือกลับ!

ชักมือกลับครั้งนี้ นางยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?!

เขาลงจากแท่นดอกบัวตามไปโดยไม่ต้องคิด ใช้ความเร็วมากที่สุดยื่นมือไปหานาง!

เสียงร้องเสือที่เต็มไปด้วยความกังวลของอาฝูก้องไปทั่วหุบเขา กระโจนตัวเข้าไปราวกับฟ้าแลบในพริบตานั้น!

เขารับตัวมู่จิ่วที่ร่วงลงได้กลางอากาศ และตอนนี้ลู่ยาใช้พลังเสวียนหมิงไร้เทียมทานสร้างเขตพลังขึ้นมาปกป้องร่างนางพอดี พลังของนางถูกพลังเสวียนหมิงกักไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีทางพุ่งออกมาและไม่มีทางใช้ได้ เขาหมุนแท่นดอกบัว ร่อนลงไปบนพื้น กอดนางนั่งกลับลงไป จากนั้นผนึกชีพจรนาง ใช้พลังลมปราณชี้นำพลังนางให้กลับเข้าที่

แสงทองสองสายบนแท่นดอกบัวทองเกี่ยวพันและเข้าต่อสู้โรมรัน ต่อเนื่องไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ เมฆทะมึนที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายไป แสงสว่างบนร่างมู่จิ่วหายไปทีละน้อย

รอบด้านค่อยๆ ฟื้นคืนความสงบ รวมถึงพวกอ๋าวเชินที่มองอย่างตกตะลึง

ลู่ยาเก็บมือพลางมองนางที่นั่งตัวอ่อนอยู่ข้างหน้า ไม่รู้เพราะอย่างไร เบ้าตาพลันแสบร้อนขึ้นมาบ้าง

นางตรงหน้ายังคงเป็นเด็กสาวน่ารักและโง่งมที่ชอบกระโดดโลดเต้นคนนั้นหรือไม่?

เป็นเขาที่ผิดเอง หากไม่เพราะเขามุทะลุจากไป นางจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร? หากไม่เพราะเขาหุนหันพลันแล่น ทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้

มู่จิ่วยังคงก้มหน้านั่งขัดสมาธิอย่างไร้เรี่ยวแรงบนแท่นดอกบัว เหมือนผีดิบที่เหลือสัญญาณชีวิตเพียงแผ่วเบา

ในหัวของนางยังคงหลงเหลือความเจ็บปวด แต่เวลาเล็กน้อยเพียงครึ่งชั่วยามแบบนี้ ก็เพียงพอให้นางฟื้นคืนสติกลับมา

นางเกือบสังหารเขาแล้ว

ใช่แล้ว นางไม่รู้ว่าเขากลับมาตอนไหน และไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลับมา ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงเห็นเขากลายเป็นคนอื่น! รู้เพียงว่าอีกนิดเดียวก็จะแทงกระบี่ยาวเข้าอกเขาแล้ว

นางไหนเลยจะยังมีหน้าไปเผชิญกับเขา

นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร รู้สึกแต่ว่าเหนื่อยยิ่งนัก

เหนื่อยจนแม้แต่ไม่มีแรงจะเสียใจและหวาดกลัว

นางไม่รู้ว่านางคือใคร? ช่างไม่คุ้นเคยนัก

นางต้องการพักผ่อนสักหน่อย คิดดีๆ สักครู่

มู่จิ่วลุกขึ้นมา โอนเอนลงจากแท่นดอกบัว มองไปรอบด้าน ก่อนเดินไปตามทางหินที่ค่อนข้างราบเรียบ “เจ้าจะไปไหน!”

ลู่ยาลุกขึ้นยืน เดินเร็วหลายก้าวไปด้านหลังนาง “ตอนนี้เจ้าเป็นแบบนี้ แม้แต่ขี่เมฆยังทำไม่ได้ แล้วจะไปไหนได้!”

มู่จิ่วยันหินก้อนใหญ่ข้างตัวให้ยืนนิ่ง คอไร้เสียงจนแม้แต่พูดก็เหมือนผลักประตูหินที่ถูกผนึกไว้พันหมื่นปี ไม่มีเสียงที่ชัดเจน

ไม่ใช่นางไม่มีคำใดจะพูด แต่ในสมองนาง คำที่อยากพูดออกมามีมากเกินไป สับสนเกินไป

ลู่ยาใจบีบรัดแน่น

เขาเดินไปตรงหน้านาง จับมือนางขึ้นมา “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป!”

มู่จิ่วส่ายหน้า ดึงมือออกมา นางปวดหัวมาก นางต้องการสงบใจจริงๆ

ลู่ยาพูด “เป็นข้าผิดเอง ข้าไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ ไม่ควรพูดคำเหล่านั้นให้เจ้าโกรธ!”

มู่จิ่วส่ายหน้าอีก ไม่ใช่ความผิดเขา ไม่ใช่ความผิดเขา นางเพียงแต่เหนื่อยมาก ร่างนางเหมือนกับศพเดินได้ นางไม่รู้ว่าควรพูดอะไร และก็ไม่อยากพบใครทั้งนั้น เขาต้องไม่รู้ว่านางเสียใจขนาดไหนแน่ นางเกือบโดนพลังวิญญาณขุมนั้นทรมานจนตายแล้ว!

นางต้องไปหาคำตอบ ต้องรู้ชัดเจนให้ได้ว่านางเป็นอะไร

“กัวมู่จิ่ว!”

ลู่ยาอดกลั้น ตะโกนด้วยความโกรธกริ้ว

นางหยุด เนิ่นนานกว่าจะหันกลับมา

ลู่ยากัดฟันไม่ส่งเสียง

นางลองมาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายเปิดปากอย่างยากลำบาก “ข้าขอโทษ ลู่ยา ข้าผิดไปแล้วจริงๆ เจ้าให้อภัยข้าเถอะ”

ริมฝีปากลู่ยาสั่นเทา สีหน้าไม่น่าดูขนาดนั้นแล้ว

เขาต้องการคำขอโทษของนางหรือ? เขาไม่ต้องการ! เขาเพียงต้องการให้นางออดอ้อน ออเซาะ แบบนี้ก็ทำไม่เป็นหรือ?!

“เจ้ามานี่ มาให้ข้ากอด” เขาปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ข่มกลั้นความเศร้าในใจขณะยื่นมือไปหานาง

…………………………………………

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset