ประตูห้องหลิวหยางเปิดกว้างอยู่ เขตพลังก็เปิดแล้ว เมื่อมองผ่านประตูห้องเข้าไป สามารถเห็นเขากำลังนั่งขัดสมาธิเขียนยันต์อยู่หลังโต๊ะ
“อาจารย์”
มู่จิ่วแอบอยู่หลังขอบประตูพลางเอ่ยเสียงเบา
หลิวหยางมองนางก่อนพูด “มาแล้วก็เข้ามา อาจารย์ไม่เคยสอนเจ้าว่า หญิงสาวยังไม่ออกเรือนกระทำการใดไม่ควรกระมิดกระเมี้ยนหรือ?”
มู่จิ่วยิ้มแล้วเดินเข้ามา งอเข่านั่งลงตรงข้ามเขา “ข้ากลัวว่าท่านกำลังยุ่ง” จากนั้นวางว่านสิบแสนไว้ตรงหน้าเขา “มอบให้อาจารย์เจ้าค่ะ”
หลิวหยางยกริมฝีปาก วางมือจากเรื่องที่กำลังทำอยู่ หยิบดอกไม้ขึ้นมาอย่างสนใจ “สภาพไม่เลว”
มู่จิ่วยิ้มอย่างโง่งม
หลิวหยางวางดอกไม้ลง สำรวจนางภายใต้แสงไข่มุก “เจ้าผอมลง”
มู่จิ่วลูบหน้า “บนสวรรค์อาหารไม่อร่อย”
หลิวหยางลากเสียงพูด “เจ้าพามู่เสี่ยวซิงไปมิใช่หรือ?” ใช่ชื่อนี้หรือไม่? นางเป็นคนตั้งเอง
“กินไม่อร่อยเหมือนที่หงชาง” มู่จิ่วออดอ้อน “หงชางมีอาจารย์กับเหล่าศิษย์พี่ ข้าสามารถแย่งอาหารที่ชอบกินได้”
หลิวหยางหัวเราะ พริบตาสีหน้าพลันจริงจัง ก่อนพูด “เจ้าเจอเรื่องอะไรมา?”
ในตอนแรกเพื่อที่จะแต่งประวัติปลอมขึ้นมา ต้องนำดวงชะตาเกิดของนางมาแก้ไขเล็กน้อย เรื่องมากมายเขาทำนายไม่ออก ทำนายได้เพียงช่วงนี้นางไม่ค่อยดีนัก
มู่จิ่วได้ยินคำพูดนี้ของเขา รอยยิ้มก็หายไป นางขมวดคิ้วอยู่นานถึงตอบ “ข้าเจอเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง”
“ข้าอยู่ในป่าผืนหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของคุนหลุนตะวันออก ระหว่างนั้นพลังฤทธิ์พลันระเบิดออก ข้าควบคุมไม่ได้ เหมือนกับมารคลั่ง ซ้ำยังเกือบทำร้ายคน เดิมทีในป่านั้นประหลาดอยู่แล้ว และตอนนั้นข้ารู้สึกว่าพลังไม่ได้ออกมาจากป่า แต่มาจากในร่างของข้าเอง อาจารย์ ทำไมข้าถึงมีพลังฤทธิ์แปลกประหลาดขนาดนี้ได้?”
“พลังฤทธิ์ระเบิดออก?” หลิวหยางสีหน้าเคร่ง ยื่นมือไปใช้ปลายนิ้วจับชีพจรนาง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็วางลง “ไม่รู้สึกถึงพลังผิดปกติอะไร” พูดให้ชัดเจนคือไม่ต่างกับนางในเวลาปกติ
“ใช่เจ้าค่ะ มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย” มู่จิ่วมองเขา “มีคนช่วยข้ากดกลับไป มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าข้าคงตายไปนานแล้ว มันมีอยู่จริงๆ แข็งแกร่งจนน่ากลัว ข้ากลายเป็นเหมือนมารปีศาจ ข้าทำลายภูเขาหลายลูก ทั้งยังเกือบ…เกือบแทงเขาบาดเจ็บ”
“แทงใครบาดเจ็บ? ใครช่วยเจ้ากดกลับไป?” หลิวหยางถามอย่างสงสัย รู้สึกอยู่เสมอว่ามีข้อสงสัยอยู่ในคำพูดนาง
มู่จิ่วม้วนนิ้วอยู่นานกว่าจะพูด “ลู่…ลู่ยาเต้าจู่”
“ลู่ยา?!”
หลิวหยางเป็นคนสงบสุขุมผู้หนึ่ง แต่ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ก็อดเผยสีหน้าตกใจไม่ได้ “เขาอยู่ด้วยกันกับเจ้าได้อย่างไร?”
มู่จิ่วก้มหน้าลง จับนิ้วไว้พลางตอบ “เขา…เขาอยู่ที่บ้านกับข้าด้วยกันปีกว่า”
ยังอยู่ด้วยกันตั้งปีกว่า…
หลิวหยางไม่พูดสิ่งใดอยู่นาน เหลือบมองนางอย่างเย็นชาครู่หนึ่งก่อนพูดอีก “ไม่ได้มีแค่นี้ใช่หรือไม่? เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีก?”
“ยังมีเรื่องอะไรได้อีก ไม่มีแล้ว” มู่จิ่วปัดจอนผมหันไปมองกิ่งต้นท้อที่หน้าต่าง
หลิวหยางเหลือบมองนาง พูดนิ่งๆ ว่า “ไปสวรรค์ปีกว่านี้ ไม่เจอคนที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็นพิเศษหรือ?”
“มีเจ้าค่ะ มีมากมาย” มู่จิ่วนับนิ้ว ตั้งแต่หลินเจี้ยนหรูถึงอิ่นเสวี่ยรั่ว จากหลิวจวิ้นถึงเหล่าสหายร่วมงาน แต่ไม่พูดถึงลู่ยา
หลิวหยางไม่รีบร้อนเปิดโปงนาง เพียงย้ายผังดวงชะตาบนโต๊ะ จากนั้นกล่าวออกมาประโยคหนึ่งทันที “เสือขาวตัวนั้นกับจิ้งจอกน้อยเป็นมาอย่างไร?”
“อาฝูข้าเก็บมา ส่วนรุ่ยเจี๋ยคือบุตรชายของราชาจิ้งจอกชิงชิว กราบลู่ยาเต้าจู่เป็นอาจารย์”
“อ้อ อาจารย์” หลิวหยางตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้า “แบบนั้นเขาที่เป็นลูกศิษย์ทำไมไม่ตามอาจารย์ไป กลับมาตามเจ้าคนที่ไม่เกี่ยวข้อง?”
มู่จิ่วจนคำพูด
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามองเจ้าเป็นภรรยาของอาจารย์?”
มู่จิ่วสำลักน้ำลายทันที แล้วไอขึ้นมา!
เขาช่างหน้าเนื้อใจเสือเสียจริง! เลือกโจมตีตอนนางไม่ทันตั้งตัว
“ท่านพูดอะไร?” นางหน้าแดงเถือกถึงคอ ไม่รู้เพราะอายหรือเพราะไอ “เขาเป็นเทพชั้นสูง ข้าเป็นเพียงหัวเสินน้อย”
“ใครบอกว่าหัวเสินน้อยจะเป็นภรรยาของเทพผู้สูงส่งไม่ได้?” หลิวหยางมองผังดวงชะตา ก่อนพูดช้าๆ “ลูกศิษย์ของข้าหลิวหยาง แย่มากกระนั้นหรือ?” เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้าคู่กับใครล้วนไม่แย่ อย่ามองตนเองต่ำไป”
ครั้นมู่จิ่วได้ยินคำนี้ จมูกพลันเจ็บแสบ
“ไม่มีประโยชน์แล้ว” นางก้มหน้าซ่อนดวงตาที่แสบร้อน “พวกเราแยกกันแล้ว”
หลิวหยางชะงัก “แยกกันอย่างไร?”
มู่จิ่วเล่าเรื่องกำไลม่วงทองให้ฟัง “ข้าบอกว่ารอข้าคิดได้กระจ่างก่อนค่อยไปหาเขา แต่ตอนนี้ข้าก็สับสน ข้าไม่รู้ว่าข้าชอบเขาหรือไม่ หากบอกว่าชอบ ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้ถอดกำไลนั้นออก? เขาคิดว่าข้าไม่ควรถอดออก แต่ข้าคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร แต่หากบอกว่าไม่ชอบ สองวันนี้ข้าก็เสียใจนัก ใจของข้าเหมือนแตกสลาย”
หลิวหยางจ้องนางอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “เจ้าครั้งแรก ลู่ยาก็ครั้งแรก ขัดแย้งกันเป็นเรื่องปกติ”
มู่จิ่วพยักหน้า
พวกหลิวหยางเคยชินที่จะเข้าข้างนางเสมอ
แต่นางคิดสักครู่ก็เงยหน้าขึ้นมา “อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าเป็นครั้งแรกของเขา?”
ใบหน้าหลิวหยางมีความผิดปกติพาดผ่านเล็กน้อย พริบตาเดียวก็กลับมาอบอุ่นสง่างามเหมือนตอนแรก “เพราะข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาเป็นสหายกับเซียนหญิงที่ไหนมาก่อน”
มู่จิ่วสบายใจ แต่พลันพึมพำ “เรื่องของเขาคนอื่นไหนเลยจะรู้ชัดเจนขนาดนั้นได้? ตัวเขาเองพูดมาก่อนว่ามีเซียนหญิงมากมายชอบเขา”
“นี่เจ้ากำลังหึง?” หลิวหยางเหลือบมองนาง ไม่รอนางตอบ เขาก็พูดอีก “นิสัยแบบเขา พบเจอของวิเศษที่ชอบล้วนทนไม่ได้ อยากจะนำไปอวดทั่วทั้งฟ้าดินสักรอบ นับประสาอะไรกับเจอคนที่เขาชอบ? ข้าเดาว่าเพียงเจ้ารับปากเขาว่าจะเดินทางไปทั่วสี่ทะเลแปดทิศด้วย เขาต้องอยากยกวังชิงเสวียนทั้งวังให้เจ้าใจจะขาดแน่”
มู่จิ่วยิ่งเจ็บแปลบในใจ “ข้าไหนเลยจะคู่ควรให้เขาดีด้วยขนาดนี้”
“ตรงไหนที่ไม่คู่ควร?” หลิวหยางพูด “หากใจเขามีเจ้า เจ้าเทียบกับอะไรก็คู่ควรทั้งนั้น หากใจเขาไม่มีเจ้า เจ้าตามเขาไปทั่วหล้า ใจเขาก็ยังคงไม่มีเจ้า”
น้ำตามู่จิ่วไหลริน
หลิวหยางหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้นาง มองนางร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นหยิบกระต่ายน้อยขนาดเท่าฝ่ามือจากในแขนเสื้อออกมาวางไว้บนมือนาง “อาจารย์หลอมเอง ให้เจ้าไว้เล่น อย่าร้องไห้เลย”
กระต่ายขนาดแค่ฝ่ามือ ขนฟูๆ เนื้อแน่นๆ ได้ยินเขาพูดแบบนี้มู่จิ่วถึงได้เห็นว่าเป็นกระต่ายดินเผา ต้องให้พลังฤทธิ์เข้าไปถึงจะมีชีวิต ดวงตาสดใสกลอกไปมา น่ารักอย่างมาก
มู่จิ่วหยุดร้องก่อนส่งยิ้ม “ขอบคุณท่านอาจารย์!”
หลิวหยางยกปากก่อนเอ่ย “ในเมื่อทางหน่วยอนุญาตลาพักแล้วก็พักผ่อนดีๆ พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าไปสำรวจคุนหลุนตะวันออกกัน”
มู่จิ่วพยักหน้าซ้ำๆ กอดกระต่ายเดินออกไป
หลิวหยางมองไปนอกประตู ถอนหายใจเบาๆ ก่อนขมวดคิ้ว
คืนนี้เงียบสงัด
เช้าวันถัดมาได้ยินเสียงคนพูดที่ด้านล่างจึงตื่นขึ้นมา เมื่อลุกไปดูถึงรู้ว่าที่แท้เป็นรุ่ยเจี๋ยพูดคุยกับอาฝูและพวกชิงจู๋น้อยหลายคน เหล่าเด็กน้อยคุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว คุยกันสองสามประโยคก็เป็นเพื่อนกันแล้ว
มู่จิ่วไม่ลืมเรื่องเดินทางไปคุนหลุนตะวันออก จึงลงมือทำโจ๊กไก่ฉีกกับใบเซียงชุน[1]คลุกเห็ดหั่นลูกเต๋า จากนั้นยกมันไปห้องซงอิ๋น
………………………………………………
[1] เซียงชุนคือสมุนไพรชนิดหนึ่ง คล้ายใบต้นฟลามิงโก้