ตั้งแต่เจ้าของวังชิงเสวียนกลับมา บรรยากาศก็คึกคักขึ้น
ลู่ยาเป็นคนชอบความครึกครื้น ดังนั้นวังของเขาจึงมีนางร้องนางรำมากมาย
ชีวิตหลังจากกลับมาหลายวันไม่ต่างอะไรจากแต่ก่อน ทุกวันนอนหลับจนตื่นขึ้นเอง จากนั้นเรียกคนสองคนมาร้องเพลงให้ฟัง หรือไม่ก็ไปเดินเล่นริมลำธารบนเขาสองรอบ แต่กลับมาครั้งนี้เขากลับมีงานเพิ่มขึ้นมา ทุกวันต้องไปเติมไฟสมาธิในเตาเขาแพะในตำหนักข้าง และนำหินเทพไฟที่อยู่ข้างเตาป้อนเชื้อเพลิง
บนเตาเขาแพะมีกระดิ่งวางอยู่หนึ่งอัน
ตั้งแต่กระดิ่งถูกนำกลับมาก็ถูกไฟสมาธิแผดเผาไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มแล้ว
กระดิ่งนี้เป็นกระดิ่งศักดิ์สิทธิที่ปฐมวิญญาณสร้างขึ้น ปกติเย่อหยิ่งถือดียิ่งนัก แต่ตอนนี้แม้แต่ร้องไห้เขาก็ร้องไม่ออกแล้ว
เขาเย่อหยิ่งถือดีอย่างไรก็สร้างมาจากทอง สามารถต้านทานไฟสมาธินี้ได้หรือ?
และลู่ยาไม่เพียงจงใจเผาเขา ยังอบเขาไม่หยุดหย่อนทุกเวลาทุกนาทีเช่นนี้
เขาอดกลั้นรับความทรมานตลอดเวลา แต่ลู่ยากลับนอนเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่บนตั่ง มองดูตี้เจียงเต้นระบำเก้าชั้นฟ้า
“เซิ่งจุนรองมาถึงแล้ว!”
ทางประตูพลันมีเสียงรายงานดังเข้ามา หุนคุนมาแล้ว? กระดิ่งสติแจ่มใส หูชี้ขึ้นมา!
ใต้ประตูวังสูงหกจั้ง มีคนสวมชุดคลุมทอสีเขียวเดินเข้ามา คิ้วยาวตาโต ท่าทางใจกว้างสง่าผ่าเผย นี่มิใช่หุนคุนหรอกหรือ?
ลู่ยายังคงนิ่งอยู่บนตั่ง ไม่ขยับแม้แต่น้อย ดวงตาไร้ความรู้สึก
“น้องสี่ ชมการร้องรำอยู่รึ?” หุนคุนไม่ใส่ใจเขา หัวเราะก่อนนั่งลงด้านข้างแสดงความใกล้ชิด
ลู่ยาจ้องเหล่านกชิงหลวนที่กำลังเต้นรำเหมือนเปลี่ยนเป็นหินไปแล้ว หางตาไม่มองเขาเลย
หุนคุนนิ่งไปก่อนพูดต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้าไปเดินเล่นที่สวรรค์มารอบหนึ่ง? สวรรค์สนุกหรือไม่?”
ลู่ยายังไม่ขยับ สีหน้ากลับทะมึนแล้ว
หลังจากตอนนั้นที่หุนคุนมองดูเขาโชคร้ายจนสะบักสะบอมด้วยความสุข จะไม่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ก็อยู่ในความคาดหมาย แต่เขาไม่อารมณ์เสียและไม่โวยวายไร้เหตุผล นี่กลับทำให้หุนคุนสงสัยเล็กน้อย เขายืดตัวเข้าไปใกล้ลู่ยา “เจ้ากลับมาหลายวันแล้ว ทำไมไม่ไปนั่งเล่นที่วังข้า? ศิษย์พี่หญิงเจ้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ากลับมา เจ้าไม่ไปหานางหรือ?”
ที่นี่หนึ่งวันเท่ากับบนสวรรค์หนึ่งเดือน แต่เพราะพวกเขาอุทิศตนใช้ชีวิตแบบมนุษย์ธรรมดาแล้ว ดังนั้นจึงเคยชินกับการนับเวลาแบบสวรรค์
ลู่ยานิ่งอยู่นาน จึงค่อยวางมือที่ค้ำหน้าผากลง ดื่มยอดสุราที่อยู่ในมือวิหคแดงเงียบๆ
“นี่เจ้าเป็นอะไร?” หุนคุนรู้สึกว่าไม่ค่อยดีนัก
“ไม่มีอะไร” เขาพูดอย่างหดหู่
จากนั้นยืนขึ้น เข้าไปตำหนักหลัง
ทั้งสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าล้วนเป็นของพวกเขาสี่พี่น้อง นอกประตูวังเป็นกลุ่มภูเขา ระหว่างแต่ละยอดเขาล้วนมีสะพานหยกเชื่อม ดังนั้นมองจากบนลงล่าง ทั้งฟ้าดินจึงกลายเป็นกำแพงธรรมชาติขนาดใหญ่ของวัง
เขามุ่งตรงไปยังหอแสงม่วง ผลักประตูเข้าไป กระตุ้นแผ่นหยกกลมบนผนัง แผ่นหยกมีภาพปรากฏขึ้นมา บนเขาหงชาง นางพาอาฝูเดินเล่นอยู่บนภูเขา
คำพูดของนางก่อนจากไปกวนใจเขาเหมือนกัน เขายอมรับว่านางพูดมีเหตุผล ถึงแม้นางอยู่ด้วยกันกับเขา ถึงแม้ยอมรับเขา ก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งหลักการของตนเอง หากนางไม่โง่ขนาดนั้น ตอนแรกจะเชื่อคำพูดของเขาและพาเขากลับบ้านได้อย่างไร? จะรับเขาไว้ให้ได้โดยเสี่ยงถูกไล่ออกจากสวรรค์ได้หรือ?
หากนางไม่จิตใจดี ไม่ใจอ่อน เขาคงไม่มีโอกาสได้โกรธนาง
นางใช้กำไลช่วยเหลืออ๋าวเจียง แต่ตอนอยู่ในระฆังทองที่ชิงชิวนางก็ทุ่มเทสุดชีวิต ยินดีตายเพื่อปกป้องเขา
สิ่งที่นางปฏิบัติต่อคนล้วนเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง กับหลินเจี้ยนหรู กับเขาในตอนแรก กับอ๋าวเจียง ล้วนเกิดจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น
พูดจากมุมนี้ แท้จริงเขาไม่ควรโทษนางว่านางไม่ควรช่วยอ๋าวเจียง
บางทีเขาคงรุนแรงไปหน่อย แต่เขาหวังว่านางจะให้ความสำคัญกับเขาสักนิด ใส่ใจตัวนางเองหน่อย และไม่ต้องดีกับคนอื่นให้มากเกินไปนัก…
“รายงานเซิ่งจุน ที่โลกเซียนมีคนชื่ออ๋าวเชินมาขอพบ”
ที่ประตูพลันมีคนมารายงาน
เขาใช้ผ้าคลุมแผ่นหยกกลมก่อนเดินออกไป
………………
ครั้งนี้หลิวหยางเดินทางไปได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว
มู่จิ่วอยู่บนเขา ทุกวันสิ่งที่ไม่ขาดที่สุดคือเพื่อนเล่น ตอนแรกยังรู้สึกว่าเต็มอิ่ม รู้สึกพอใจอย่างมาก แต่นานไปกลับค่อยๆ รู้สึกว่างเปล่า
นางอยู่ในสวรรค์ทำงานมาปีกว่า ทุกวันปฏิบัติหน้าที่ รับมือกับเรื่องไม่คาดฝันจนคุ้นชินแล้ว ครั้นว่างขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรทำอะไรดี
นางรู้สึกคิดถึงสวรรค์อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังมุ่งไปยังเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ หากใช้ห้าร้อยปีนี้อย่างเปล่าประโยชน์ ไม่แน่ว่านางยังจะมีโอกาสในการสะสมบุญกุศลมากมายขนาดนั้น
หากนางเป็นเซียนไม่ได้ ถึงแม้คลายปมในใจได้ อนาคตก็มีแต่เพิ่มความยุ่งยากให้คนรอบข้าง
นางทำสติให้แจ่มใส พับกระเรียนกระดาษส่งหาซ่างกวนสุ่น ถามเรื่องทิวเขาริ้วหยกว่าจัดการไปอย่างไรแล้ว อีกด้านก็รอหลิวหยางกลับมาอย่างสงบ
วันนี้นางกำลังฝึกใช้ผังดวงชะตาบนระเบียงเปิดโล่ง ลมขุมหนึ่งพัดเข้ามาจากประตู มู่จิ่วถึงได้กลิ่นดอกกล้วยไม้อันคุ้นเคย
ยังไม่ทันให้นางมีปฏิกิริยากลับ หลิวหยางก็ไพล่มือยืนอยู่หลังนางแล้ว
“ดูแล้วมีพัฒนาการอยู่บ้าง”
หลิวหยางมองผังดวงชะตา ยกเสื้อขึ้นนั่งลงตรงข้ามนาง
มู่จิ่วรีบลุกขึ้นรินชา ประคองส่งให้อย่างนอบน้อมก่อนพูด “อยู่สวรรค์ยุ่งนัก ไม่มีเวลาฝึกฝนเท่าไหร่ หลายวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่สอนเคล็ดวิชาให้ข้า ข้าจึงลองฝึกดู ได้รับคำชมจากอาจารย์ ดูไปแล้วข้าคงมีพัฒนาการจริง!” พูดถึงตรงนี้ก็อดกลั้นไม่ได้ นั่งลงไปที่เดิมแล้วมองเขาอย่างคาดหวัง “อาจารย์ตรวจสอบชาติก่อนๆ ของข้าแล้วผลเป็นอย่างไร?”
“ไม่มี” หลิวหยางยกชาขึ้นมา ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “นอกจากชาติก่อนในโลกมนุษย์ของเจ้า ก็ไม่มีชาติก่อนๆ อีกแล้ว”
มู่จิ่วนิ่งตะลึง “ไม่มี?”
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
บนโลกนี้วิญญาณมิใช่ต่างก็เวียนว่ายตายเกิดหรือ? หรือนางเกิดมาจากซอกหิน?
หลิวหยางมองความสงสัยของนางออก จึงเอ่ย “ไม่เพียงตรวจสอบชาติก่อนของเจ้าไม่ได้ ข้าเดินทางไปทั่วทั้งฟ้าดินก็ล้วนไม่พบที่มาของเจ้า แม้แต่หงอคงที่ออกมาจากหิน ก็ยังมีหินก้อนหนึ่ง แต่เจ้ากลับเป็นความว่างเปล่าอย่างแท้จริง”
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี
ชาติก่อนของนางว่างเปล่า แบบนั้นวิญญาณของนางก่อร่างมาได้อย่างไร?
“เช่นนั้นข้าเป็นปีศาจมารแปลงกายมาหรือไม่?” นางถามอย่างหวาดกลัว เพราะที่จริงตอนที่พลังระเบิดออกมาก็น่ากลัวอย่างมากจริงๆ
“ถึงแม้เป็นปีศาจมารก็ต้องมีชาติก่อน” หลิวหยางมองนางพลางพูดช้าๆ “มีความเป็นไปได้มากมายเรื่องไม่มีชาติก่อน เช่นลู่ยาที่ไม่มีชาติก่อน เทพผู้สูงส่งทั้งสี่ล้วนก่อร่างมาจากพลังของฟ้าดินบรรพกาล พวกเขาเหล่านี้เป็นเทพผู้สร้างภพทั้งสิ้น”
มู่จิ่วเงียบ พูดด้วยสีหน้าประหลาด “อาจารย์คงไม่ได้จะบอกว่าข้าเป็นหนึ่งในสี่เทพหรอกกระมัง? ข้าเหมือนได้ยินท่านพูดมาก่อนว่าหงจวินจู่ซือหายตัวไป?”
“ไร้มารยาท” หลิวหยางเหลือบมองนาง แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่จิ่วพูดไร้สาระโดยแท้ แน่นอนว่านางไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นหงจวิน ถึงแม้นางเป็น ชาติก่อนต้องเห็นว่านางเป็นเทพเซียนชั้นสูงคนหนึ่งมิใช่หรือ
นางถอนหายใจยาว “ข้ารู้สึกว่าไม่แน่ข้าอาจเป็นปีศาจมาร เป็นปีศาจที่ก่อร่างมาจากไอมารบรรพกาล”
……………………………………………………………