ส่วนซ่างกวนสุ่น….
ใช่แล้ว ซ่างกวนสุ่นตามอวิ๋นฉัวไปทิวเขาริ้วหยกยังไม่เคยกลับมา แต่นี่ผ่านไปสองเดือนแล้ว หรือเรื่องราวยังจัดการไม่เรียบร้อย?
ตอนดูพวกอาฝูฝึกพลัง ลู่ยาก็พับกระเรียนกระดาษ โยนไปทางใต้
หลังข้าวกลางวันเพิ่งให้เสี่ยวซิงหั่นผลไม้สดเตรียมยกเข้าห้อง ได้ยินเสียงคนกระโดดเข้าประตูประตูลานมา จากนั้นเสียงแหลมเหมือนเป็ดก็ดังขึ้นมาแต่ไกล “เก็บข้าวไว้ให้ข้าหรือไม่? เก็บข้าวไว้ให้ข้าหรือไม่? ข้ากลับมาแล้ว!”
คนแก่และเด็กทั้งบ้านหันหน้ามามอง เห็นเพียงซ่างกวนสุ่นสะพายดาบยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน โวยวายจนเหมือนกับมีปากงอกออกมาแปดปาก!
เสี่ยวซิงเบิกตาจนกลมมองสำรวจเขาอยู่นาน แม้แต่มีดที่ใช้หั่นผลไม้ยังลืมไปครู่หนึ่ง ถือมันพุ่งออกไป “เจ้ายังรู้จักกลับมา!”
“มิใช่ว่าข้าไปทำงานหรอกหรือ! ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ยังไม่ได้กินข้าว รีบผัดกับข้าวสองอย่างเอาเหล้าหนึ่งกามาให้ข้า…
ซ่างกวนสุ่นหลบมีดของเสี่ยวซิง ผลักนางเดินตรงไปทางห้องครัว รวดเร็วเสียยิ่งกว่ากระต่าย
มู่จิ่วรับทำงานให้หวังหมู่ ทำให้มีเรื่องกังวลเพิ่มขึ้นในใจอีกเรื่อง วันนี้อวี้ตี้ไม่ได้ออกไปข้างนอก ในหน่วยก็ไม่มีเรื่องจุกจิกมากนัก ช่วงเช้านางจึงไปเดินรอบวังหลิงเซียวสักรอบสองรอบ ไม่ได้รีบกลับบ้าน หลังจากกินข้าวอยู่ที่หน่วย ช่วงบ่ายค่อยออกไปเดินอีกสักสองรอบถึงได้เลิกงาน
ยังไม่ทันถึงประตูบ้านก็ได้ยินเสียงของซ่างกวนสุ่นก่อน รู้ว่าเขากลับมาแล้วก็อดดีใจไม่ได้ ในบ้านคึกคัก ช่างดียิ่งนัก
เสี่ยวซิงทำกับข้าวมื้อเย็นหลายอย่าง มู่จิ่วถามเรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นขึ้นมาตรงโต๊ะกินข้าว เขาไปนานขนาดนี้เพิ่งได้กลับมา เดิมทีเป็นเพราะช่วงแรกอวิ๋นฉัวพบปัญหาในการปิดด่านหลายหลายครั้ง และมีเพียงอ๋าวเชินที่รู้วิธีควบคุมพลังวิญญาณของกุญแจจันทรา เพื่อป้องกันอ๋าวเชินเล่นตุกติก ซ่างกวนสุ่นจึงได้แต่รออวิ๋นฉัวเข้าที่เข้าทางก่อนค่อยกลับมา
“อวิ๋นเฉี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วอยากรู้นัก ตอนนี้อ๋าวเชินแยกทางกับราชินีมังกรแล้ว ทั้งยังไปมาหาสู่ที่ทิวเขาริ้วหยกบ่อยครั้ง แบบนั้นก็ต้องเจอกับอวิ๋นเฉี่ยนอย่างแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสุดท้ายสองคนนี้จะสามารถครองคู่กัน?
“นางไปฝึกบำเพ็ญที่ที่พำนักของปี้เสียหยวนจินแล้ว” ซ่างกวนสุ่นตอบ “นี่ก็เป็นความตั้งใจของตระกูลอวิ๋น นางไม่เหมาะสมจะอยู่กับอ๋าวเชิน ตัวนางเองก็ไม่มีความคิดนี้เช่นกัน พอดีว่าปีนั้นจื่อเยวี่ยกับปี้เสียหยวนจินมีมิตรภาพต่อกันหลายส่วน ดังนั้นจึงส่งนางไปที่นั่น ตอนนี้อ๋าวเชินกับพี่น้องตระกูลอวิ๋นละทิ้งความแค้นเก่าก่อน ความสัมพันธ์นับว่าปรองดองกันดี”
มู่จิ่วได้ยินบทสรุปนี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงโล่งใจไปเหมือนกัน อาจเป็นไปได้ว่าในใจนางไม่หวังให้พวกเขามีจุดจบไม่ดีกระมัง
หลังอาหารเย็น นางล้างผลไม้ครึ่งตะกร้าแล้วยกไปห้องลู่ยา
นางเลือกลูกท้อที่เขาชอบกินออกมาผ่าให้เขาก่อน จากนั้นจึงถาม “เรื่องคุนหลุนตะวันออกสุดท้ายแล้วเบื้องหลังเป็นใครทำ เจ้ารู้หรือไม่?”
“ไม่รู้” ลู่ยาส่ายหน้า เล่าเรื่องที่พวกเขาพบแมงมุมกลืนวิญญาณให้นางฟัง “สามารถสร้างใยแมงมุมของแมงมุมกลืนวิญญาณได้ใหญ่ขนาดนั้นต้องไม่ใช่ผู้อาวุโสทั่วไป และควบคุมแมงมุมกลืนวิญญาณตัวใหญ่เพียงนั้นได้ย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้เบาะแสน้อยเกินไป ข้าคิดไม่ออกว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน”
“ควรพูดว่าคนผู้นี้ไม่เพียงมีที่มาแปลกประหลาด ทว่ายังเก่งในการแอบซ่อนตัวอย่างมาก กระทั่งในป่าทั้งผืนไม่มีร่องรอยของเขาอยู่แม้แต่น้อย ถ้ำนั้นอย่างน้อยก็หลายพันปีแล้ว ตั้งแต่แมงมุมกลืนวิญญาณทอใยแมงมุมขึ้นจนถึงวันนี้ก็หลายพันปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครทำลาย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ วันนั้นหากไม่ใช่เพราะเจ้าฟันมันออกมาโดยไม่ระวัง ก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะหาเจอ”
มู่จิ่วคิดก่อนพูด “แบบนั้นเจ้าหมายถึงคดีนี้กับคดีเฟยอีและอู่เต๋อมีจุดที่เกี่ยวข้องกันพอดีหรือ? เพราะอู่เต๋อก็กลับมาเกิดเมื่อห้าพันปีก่อน วิญญาณของเฟยอีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยตอนนั้นพอดี เฟยอีไปไหน? ของวิเศษเหล่านั้นหายไปไหน?”
ลู่ยาฟังนางพูดถึงตรงนี้ก็เงียบลง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูด “ตอนนี้ยังไม่อาจพูดได้ว่าเกี่ยวข้องกันแน่นอน แต่เวลาน่าสงสัยอยู่เล็กน้อยจริงๆ วันหลังข้าไปสืบว่าห้าพันปีก่อนในหกภพเกิดเรื่องอะไรใหญ่ขึ้นหรือไม่แล้วค่อยว่ากัน”
มู่จิ่วพยักหน้า ก่อนเอ่ยอีก “วันนั้นอ๋าวเชินกับอวิ๋นฉัวพบเจออันตรายที่ป่าหรือไม่?”
“พวกเขาไม่เจอ” ลู่ยามองนาง “อาฝูกับซ่างกวนสุ่นก็ไม่เจอเหมือนกัน นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ข้าสงสัย อันตรายนั้นเหมือนกับมุ่งไปที่เจ้าเท่านั้น แม้แต่อ๋าวเจียงที่เจออันตรายก็เพราะอยู่กับเจ้า ภายหลังเขาไม่เจอเรื่องอะไรอีก บาดแผลบนร่างล้วนเกิดขึ้นตอนที่อยู่กับเจ้า”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง หรือชะตาชีวิตนางมีดาววิบัติ?
“แต่ตอนข้าไปที่นั่นอีกครา พลังของข้ากับพลังวิญญาณของบึงน้ำดำเข้าคู่กันมาก”
“บึงน้ำดำคือบึงน้ำดำ ป่าคือป่า” ลู่ยาพูด “พลังวิญญาณของบึงน้ำดำเกิดตามธรรมชาติ และคนนอกเข้าไปน้อย อันตรายในป่าคงเกิดขึ้นจากการป้องกันคนบุกรุก ตอนที่เจ้าเดินอยู่ที่นั่น ตัวป่าเข้าใจว่าพลังวิญญาณของบ่อน้ำดำรั่วไหล ดังนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง”
มู่จิ่วสับสนอย่างมาก
ลู่ยามองไปข้างนอก “เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
นางรีบส่ายหัว
ลู่ยาจูงมือนาง “แสงจันทร์ออกมาแล้ว พวกเราไปเดินเล่นกัน”
มู่จิ่วถูกเขาจูงออกไปข้างนอก
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปท่ามกลางความสงบและเรื่องปวดหัวที่ปรากฏในบางครั้ง
ถึงแม้คดีทั่วไปในหน่วยงานจะเหมือนเม็ดฝนตรงชายคาร่วงลงมาไม่ขาดสาย แต่เรื่องที่ชวนปวดหัวกลับไม่มี หากต้องบอกว่ามี นั่นก็คงเป็นงานที่หวังหมู่ให้มา
วันคืนช่วงนี้ไม่ว่าว่างหรือไม่ มู่จิ่วก็จะสวมชุดซ่อนเซียนเดินเล่นอยู่นอกวังหลิงเซียว รวมจับได้ว่าอวี้ตี้ออกไปข้างนอกสามครั้ง แต่ไม่มีแอบออกไปอย่างลับๆ สักครั้ง พูดตามจริง เขาเป็นผู้ชาย หนึ่งเดือนออกไปข้างนอกสองสามครั้ง แท้จริงไม่นับว่าเป็นอะไร จะมากน้อยก็สามารถพิสูจน์เรื่องได้ แต่หวังหมู่กลับยังให้นางจับตามอง แต่ไม่บอกว่าทำไม
มู่จิ่วทำได้เพียงทำตามคำสั่ง
นางมักรู้สึกว่าหวังหมู่อาจจับจุดอ่อนของอวี้ตี้ได้ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจ ดังนั้นเป็นตายอย่างไรก็ให้นางพบตัวจริงให้ได้
แต่นางคิดเล่นๆ ก็รู้ว่าหวังหมู่กลัวอวี้ตี้ลักลอบคบชู้ อวี้ตี้มีใบหน้างดงาม มองดูแล้วไม่แก่เฒ่า บวกกับมีพลังอำนาจ ฐานะสูงส่ง ตลอดทั้งวันจรดค่ำแต่งตัวประณีตหมดจด และยังพูดจาเป็น เซียนหญิงที่แอบสนใจเขาต้องมีไม่น้อยแน่
เพียงแต่มู่จิ่วกลับคิดไม่ถึงว่าหวังหมู่จะมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่วังหลังแล้ว และรับนางสนมให้อวี้ตี้ สามารถดูออกว่านางก็ไม่ได้เคร่งครัดถึงขนาดไม่ยอมให้อวี้ตี้ทำเกินขอบเขต แต่กลับยังสนใจว่าเขาออกไปพบใคร ข้างนอก ในบ้านกลับไม่สนใจ กลับสนใจเรื่องข้างนอก มิใช่การทำเรื่องเกินจำเป็นหรือ?
แต่จับตามองก็จับตามอง นางทำเหมือนจับตามองผู้ร้ายก็แล้วกัน
ช่วงนี้นางชิมแผงขนมรอบวังหลิงเซียวหมดแล้ว และมักจะห่อขนมที่รู้สึกว่าอร่อยกลับไปแบ่งสหายร่วมงาน จนหลิวจวิ้นเข้าใจไปว่านางจะเปลี่ยนอาชีพไปเปิดกิจการแล้ว
ข้อดีของการทำแบบนี้คือง่ายต่อการให้นางจับความเคลื่อนไหวของอวี้ตี้ได้มากขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่การถามตรงๆ แต่สามารถถามอ้อมๆ ได้ ช่วงนี้อวี้ตี้ไปเที่ยวเล่นกับใคร พบปะกับใครมาก ทุกคนล้วนปฏิบัติงานอยู่ในแต่ละหน่วย สังคมของแต่ละคนล้วนมีคนของสวรรค์ไม่น้อย ไปๆ มาๆ ก็รู้จักมากแล้ว
…………………………………………