มู่จิ่วเห็นเขาเข้าไปในวังเซียนแห่งหนึ่งบนยอดเขา ตั้งใจว่าจะรอผ่านไปสักครู่ค่อยข้ามไป ครั้นมองเห็นป้ายชื่อหินขนาดใหญ่ที่หน้าประตูวังสลักคำว่า ‘วังเทพตงเยวี่ย’ ถึงได้รู้ว่ายอดเขานี้เป็นภูเขาไท่[1]!
นี่คงเป็นอวี้ตี้ไม่ผิดแน่
มหาเทพตงเยวี่ยจินหงซื่อและอวี้ตี้เป็นสหายกันมาหลายปี ความสัมพันธ์ไม่เลวมาตลอด เขามาภูเขาไท่เพื่อพบเพื่อนเก่าก็ไม่มีอะไรแปลก
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้ข่าวผิด นางคลายชุดซ่อนเซียน ไปจับปีศาจหมาป่าเทาตัวน้อยจากด้านหนึ่งมาถาม “เจ้าช่วยข้าสอบถามทีว่ามีแขกคนไหนเพิ่งมาที่วังมหาเทพ ข้าจะเอาของหวานให้เจ้า ดีหรือไม่?”
นางหยิบยาเซียนเพิ่มพลังที่เปลี่ยนรูปเป็นกระต่ายออกมาวางไว้ตรงหน้าเขาพลางพูด
หมาป่าเทาน้อยยังอายุเพียงไม่กี่ร้อยปี เพิ่งหัดพูดเป็น บางทีอาจเพิ่งทะเลาะกับสหายหมีข้างบ้านเสร็จแล้วรีบกลับบ้านไปกินข้าว ด้วยกลัวว่าจะถูกแม่ตี เขากำลังสะบัดขนเอาดินออกอย่างลนลานใต้ต้นสน เมื่อเห็นยาเซียนกระต่ายน้อย ดวงตาทั้งสองของเขาพลันสว่างวาบ น้ำลายก็ไหลออกจากมุมปากลงมา “ให้ข้าหรือ?”
“แน่นอน”
ปีศาจหมาป่าเทาน้อยหันหน้ากระโดดไปทางประตูวังทันที ก่อนเอียงหน้าไปหาเซียนเด็กที่ประตูด้วยท่าทางน่ารัก
ไม่นานเขาวิ่งกลับมาอย่างดีใจ “เป็นอวี้ตี้มา!”
มู่จิ่วชมเขาคำหนึ่งว่าเด็กดี เอากระต่ายน้อยให้เขา ดวงตาทั้งสองของเขาเปล่งประกายอยู่นาน กำลังจะเอาใส่เข้าไปในปาก คิดคิดก็หยุด แล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตรงช่วงเอวที่แม่เขาเย็บให้อย่างระมัดระวัง ก่อนกระโดดโลดเต้นเข้าไปหาแม่ในป่า
มู่จิ่วมองดูป้ายชื่อ ด้านนอกและด้านในล้วนมีไอมงคลอยอบอวล ที่ประตูไม่เพียงมีเขตพลังแต่ยังมีเซียนเด็ก เข้าไปไม่ง่ายแน่นอน จึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้ แต่นางกลับไม่อาจจากไปแบบนี้ได้ หากอวี้ตี้เพียงมาหามหาเทพตงเยวี่ยเพื่อคุยเรื่องเก่าแก่ ทำไมเขาต้องทำลับๆ ล่อๆ สร้างราชรถมังกรของปลอมขึ้นล่ะ?
นางไม่อาจชะล่าใจ
มู่จิ่วเดินไปทางขวาจนถึงยอดเขาด้านข้าง เลือกต้นสนแก่โค้งงอต้นหนึ่งที่ริมผา พาอาฝูกระโดดขึ้นไปรออย่างสงบ
ภูเขาไท่เป็นหนึ่งในห้าเขาใหญ่ ไม่เพียงทิวทัศน์สวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ของพลังวิญญาณก็สัมผัสได้ก่อน ตอนนี้พระจันทร์เพิ่งขึ้นสู่ฟ้า แสงสว่างอาบอยู่ระหว่างทิวเขา ยอดเขาที่ต่อเนื่องกันผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในเมฆหมอกช่างน่าพึงพอใจ ลมเย็นพัดไปตามร่องน้ำของภูเขา เสียงไผ่เสียงสนเคียงคู่ไปกับเสียงหยดติ๋งๆ ของน้ำพุที่ไม่รู้ดังมาจากไหน ฟังแล้วไพเราะราวกับท่วงทำนองหนึ่ง
“อาฝูจับตามองไว้ มีคนออกมาให้ร้องเตือนข้า”
นางหมอบลงกำชับข้างริมหูอาฝู จากนั้นหนุนอยู่บนตัวเขาแล้วงีบหลับ
อาฝูหันหัวมาเลียหน้าผากนาง หมอบอย่างเชื่องๆ เหมือนแมวตัวหนึ่ง
ทั้งหมดสงบสวยงามจนยากจะบรรยาย
แต่ทันใดนั้น มู่จิ่วที่กำลังดื่มด่ำสิ่งเหล่านี้พลันมีเสียงหนึ่งดังผ่านริมหู เสียงนี้แหบแห้ง ยาวคาง และทุ้มต่ำ เหมือนกับเสียงลมที่ลอยมาจากนรก และเหมือนเสียงเสียดสียามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่จมอยู่ใต้น้ำนับพันหมื่นปีพลันถูกกระแสน้ำซัดหลุดออกจากฝัก แต่ไม่ว่าเป็นเสียงประเภทไหน ก็ไม่กลมกลืนกับสถานการณ์และทิวทัศน์ตอนนี้เลย!
นางพลันลืมตาขึ้นมา พริบตาเดียวพลังลมปราณมารวมกันอยู่ที่ดวงตา ส่งสายตาคมกริบมองไปข้างหน้า
อาฝูก็ราวกับรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งของมู่จิ่ว เท้าหน้ายันขึ้นมา สายตาตกลงบนหน้านาง
แต่เสียงนั้นกลับหายไปแล้ว หายไปเหมือนเป็นเพียงอาการประสาทหลอนของนาง
แสงจันทร์ตรงหน้ายังสงบสวยงาม เสียงสนรอบด้านก็ไม่ถูกรบกวนแม้แต่น้อย
“เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่?” นางอดถามอาฝูไม่ได้
อาฝูส่ายหน้า เลียอุ้งมืออย่างไม่รับรู้สิ่งใด
มู่จิ่วตบๆ หัวอาฝู หยิบหยกโมราจากกระเป๋าเล็กมาป้อนเขา
บางทีอาจหลอนไปเองกระมัง
นางขบคิด อันที่จริงก็เป็นเพียงเสียงเบาๆ แค่เสียงลมก็ฟังเป็นเสียงประหลาดได้
แต่ตอนนางเตรียมเอนกลับลงไป ลมแรงขุมหนึ่งโจมตีเข้ามาที่หน้าอกนางทันใด! ความเร็วและความแข็งแกร่งของมันเทียบแล้วเร็วกว่าธนู พุ่งเป้ามายังหัวใจนางและกำลังแหวกอากาศมา!
“อาฝู!”
“โฮกกก!”
มู่จิ่วกับอาฝูเกือบจะร้องพร้อมกัน ตอนที่ลมนั้นเข้าใกล้ร่าง นางก็กลิ้งตัวหลบ ส่วนอาฝูเปลี่ยนร่างเป็นพยัคฆ์เทพขวางอยู่หน้านางอย่างกล้าหาญในพริบตา! จากนั้นบนแขนนางพลันเปล่งแสงทอง กลายเป็นดอกบัวทองล้อมนางกับอาฝูไว้…
รอจนนางได้สติคืนกลับมา ทุกอย่างก็สงบลง
ด้านหน้าไม่มีอะไรเลย คลื่นลมสงบ…
มู่จิ่วรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นธนูที่ขึงตึง ไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่นิดเดียว
เรื่องที่น่ากลัวกว่าเจอศัตรูผู้แข็งแกร่งคืออะไร? คือเจ้าไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาเป็นใคร!
หากเมื่อครู่ไม่มีดอกบัวทองปกป้อง ตอนนี้หากนางไม่ตายก็ต้องตกอยู่ในกำมือคนอื่นแล้ว!
“พวกเราถอย!”
นางหันไปตบๆ หัวอาฝู หยิบชุดซ่อนเซียนขึ้นมาสวม เอ่ยคำตัดสินใจทันที
ชุดซ่อนเซียนสามารถซ่อนร่องรอยของเซียนและมารระดับจินเซียนลงไป แต่คนที่มาไม่ว่าเป็นเซียนหรือเป็นมาร อย่างไรก็ป้องกันไว้อีกชั้นดีกว่า
นางปีนขึ้นหลังอาฝู มุ่งตรงไปยังเขาหลักซึ่งเป็นที่ตั้งของวังตงเยวี่ย นั่นเป็นวังของมหาเทพตงหัว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีคนกล้าต่อสู้กันส่งเดชที่อาณาเขตของเขา
กำลังของอาฝูแข็งแกร่ง ร่างเสือทะยานไปข้างหน้า ร่องน้ำภูเขากว้างร้อยกว่าจั้ง เขากระโดดก้าวเดียวก็ข้ามได้ ระหว่างทางไม่มีอันตรายและเรื่องน่าตกใจ
หลังจากมู่จิ่วยืนมั่นคงแล้วหันกลับไปมอง พลันเห็นต้นสนเก่าแก่ที่นางอยู่ก่อนหน้านี้มีคนยืนอยู่
ไม่รู้ว่าคนผู้นี้หันหน้าหาพวกเขาหรือหันหลังให้ มองเห็นเสื้อผ้าการแต่งกายไม่ชัด รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในเงามืดจึงพร่าเลือน พูดได้ว่าเขาที่ยืนอยู่ใต้พระจันทร์เต็มดวงดูไปแล้วเหมือนเป็นภาพเงาหยาบๆ แต่รูปร่างนั้นของเขา ถึงแม้แขนเสื้อจะพลิ้วตามลมอย่างไร กลับเผยความเย็นเยียบที่ยากจะบรรยายออกมา ทำให้นางใจสั่นยิ่งนัก…
“หงิงหงิง! หงิงหงิง!”
นางกำลังเหม่อลอย อาฝูพลันกัดกระโปรงนางมุ่งขึ้นไปบนเขา
มู่จิ่วเงยหน้ามอง เห็นเพียงไอมงคลออกมาจากในวังเซียน กลางอากาศมีมังกรทองแปดเก้าตัวร่ายรำไม่หยุดอยู่รางๆ มหาเทพตงเยวี่ยมาส่งอวี้ตี้แล้ว นางรีบเก็บกวาดความคิดแล้วลากอาฝูไปซ่อน ยืนอยู่หลังต้นไม้โบราณอย่างเงียบงัน และมองไปทางยอดเขาฝั่งตรงข้ามอย่างอดไม่ได้ คนผู้นั้นกลับไม่รู้หายไปตอนไหนแล้ว
อวี้ตี้ขี่เมฆมากลางอากาศ นางก็ไม่กล้าไขว้เขวอีก รีบพาอาฝูเว้นระยะห่างตามไปทันที
ตงเยวี่ยมีพลังวิญญาณเซียนอยู่ทุกที่ ดังนั้นพวกอวี้ตี้จึงสัมผัสไม่ได้ว่ามีคนติดตาม แต่ออกจากเขตนี้ไปกลับไม่เป็นเช่นนั้น นางทำได้เพียงตามอยู่ห่างที่สุด มิฉะนั้นหากไม่ระวังก็อาจโดนเขาสัมผัสร่องรอยได้
ตั้งแต่ออกจากเขตตงเยวี่ย อารมณ์ของนางค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา
การโจมตีเมื่อครู่เหมือนเป็นฝันตื่นหนึ่ง กระบวนท่านั้นทั้งเร็วและรุนแรง ภายใต้สถานการณ์ที่บนร่างนางมีตราประทับชัดเจนที่ลู่ยาให้ เช่นนั้นคนปกติต้องไม่สามารถทำได้ แต่คนนี้ไม่เพียงทำได้ ทว่ายังถอยหนีไปได้อย่างปลอดภัย เขาเป็นใคร? เขามาล้างแค้นหรือเมื่อครู่นางล่วงเกินเขาโดยไม่ตั้งใจ?
หากมาล้างแค้น นางเหมือนจะไม่เคยล่วงเกินคนที่สำคัญขนาดนี้
หากล่วงเกินเขา เขตตงเยวี่ยนี้นอกจากมหาเทพตงเยวี่ยแล้วยังมีใครเก่งกาจขนาดนี้อีก?
อีกอย่าง ทำไมหลังจากเกิดเรื่องเขาถึงยืนจ้องนางอยู่ใต้สนต้นนั้น?
…………………………………………………
[1] ตงเยวี่ย หมายถึง ขุนเขาบูรพา ซึ่งก็คือภูเขาไท่หรือไท่ซาน เป็นหนึ่งในห้าเขาใหญ่ของจีน