ตอนหวังหมู่เห็นนางเข้าก็หยิบพัดเดินเข้ามา “คืนนี้ฝ่าบาทอาจออกไปข้างนอก เจ้าระวังไว้”
มู่จิ่วสับสน “เหนียงเหนียงรู้ได้อย่างไร?”
ตอนนางเพิ่งเข้ามาเห็นด้านหน้าวังหลิงเซียวยุ่งกันมาก เหล่าเซียนรับใช้หญิงผ่านไปผ่านมา และมีเทพเซียนเพิ่มขึ้นไม่น้อย ดูไปแล้วทุกคนล้วนตื่นเต้นยินดียิ่งนัก แม้แต่ตอนนี้อวี้ตี้จะไปผ่อนคลายที่ห้องภรรยารองยังทำไม่ได้เลย ตอนนี้หวังหมู่ยังสามารถสืบหามาได้ว่าเขายังมีกิจกรรมยามค่ำคืนอยู่อีก ช่างไม่มีใครเทียบเทียมจริงๆ
“เพราะข้าเพิ่งเห็นว่ามื้อเย็นเขาไม่ได้ดื่มเหล้า”
นิสัยแต่เดิมของหวังหมู่ตรงไปตรงมา มิฉะนั้นก็คงไม่มีคนมากเพียงนั้นรู้ว่านางเป็นแม่เสือร้าย ช่วงนี้เพราะส่งมู่จิ่วไปช่วยนางปฏิบัติงานส่วนตัว ความนัยในคำพูดจึงเผยออกมาต่อหน้านางอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางแค่นเสียงเยาะเย้ยก่อนพูด “เจ้าคงรู้ ทุกวันกลางคืนเขาต้องดื่มเหล้าครึ่งถ้วย หากเขาไม่ได้ดื่ม แสดงว่ามีปัญหาแน่”
ความใคร่รู้ในท้องของมู่จิ่วเกือบจะพ่นออกมาตรงๆ แล้ว!
เพียงดูสิ่งนี้นางก็เดาได้ว่าคืนนี้อวี้ตี้จะออกไปข้างนอก?
เก่งกาจไปแล้วกระมัง ถึงแม้นางเป็นเทพเซียน แบบนั้นก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หากเพียงเพราะอวี้ตี้งานยุ่งเท่านั้นจึงลืมไปล่ะ?
นางอดเข้าไปใกล้ไม่ได้ พาดแขนลงบนโต๊ะชา “ทำไมเหนียงเหนียงถึงคิดว่าการที่ฝ่าบาทไม่ดื่มเหล้า กลางคืนต้องออกไปข้างนอก?”
มุมปากหวังหมู่ยกยิ้ม จัดกระโปรง นัยน์ตาหงส์เหลือบมองนอกประตูพลางพูด “นิสัยดื่มเหล้ายามค่ำคืนของเขาไม่ใช่มีเพียงข้าที่รู้ คนข้างกายเขาล้วนรู้หมด แต่คืนนี้เขาไม่เพียงไม่ดื่มเหล้า แม้แต่คนรับใช้ข้างกายยังไม่เอ่ยปากขึ้นมา ขนาดถ้วยเหล้าก็ยังไม่ส่งขึ้นไป นี่แสดงว่าเขาต้องสั่งการเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาเตรียมการไว้แล้ว”
มู่จิ่วรู้สึกชื่นชมนาง หากมู่จิ่วมีความรอบคอบของหวังหมู่ ไหนเลยตอนนั้นจะทะเลาะกับลู่ยาได้? นางพลันมีใจอยากเรียนรู้ จึงเอ่ย “แต่ถึงแม้ฝ่าบาทต้องออกไปข้างนอกก็ไม่จำเป็นต้องงดเหล้า”
หวังหมู่มองนางก่อนพูดอย่างล้ำลึก “เจ้าว่าเจ้าจะชอบนัดพบคนที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าหรือไม่?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง
มหาเทพคือมหาเทพดังคาด นางยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล…
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หากได้รับความไว้วางใจแล้วต้องทำอย่างเต็มที่ ในเมื่อหวังหมู่แน่ใจว่าอวี้ตี้ออกไปนัดพบ อย่างไรนางก็ต้องไปเฝ้าอยู่ที่ตำหนัก
แต่เพียงนางคนเดียวจะใช้ได้อย่างไร? ถึงแม้อวี้ตี้ขี่เมฆหนีไม่พ้นหูตาของนาง แต่สวรรค์มีทางออกมากขนาดนี้ หากเขารอบคอบไว้ก่อนออกจากประตูไปล่ะ? เขาสามารถเป็นราชาสวรรค์ได้ต้องไม่ธรรมดา ใครจะรู้ว่าครั้งนี้เขาจะมุ่งไปทางไหน? นางไม่กล้าเดิมพันว่าจะโชคดีเหมือนครั้งก่อน
มู่จิ่วเห็นท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จึงก้าวเท้าเร็วๆ กลับบ้านไปขอยันต์จากลู่ยาหลายแผ่นเผื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ลู่ยาพูด “ไม่ต้องใช้ยันต์ หากเขาไม่ต้องการให้คนรู้ แน่นอนว่าต้องเลือกหลบซ่อน และถึงแม้หลบซ่อน ฟ้าก็มีการเปลี่ยนแปลง ข้าจะให้คาถาไป เจ้าเพียงกระตุ้นดอกบัวทองที่แขนแล้วซ่อนไว้ใกล้ๆ วังหลิงเซียว หากเขาออกมาต้องมีพลังวิญญาณเคลื่อนไหว เจ้าเพียงตามหาเขาในจุดที่พลังวิญญาณเคลื่อนไหวก็พอ”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าดอกบัวทองสามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณได้ นางเลิกแขนเสื้อขึ้นดู ลู่ยาหยิบพู่กันจากบนโต๊ะมาเขียนคาถาบนฝ่ามือนาง ก่อนพูด “กลับมาเร็วหน่อย”
นางเอ่ย “รับทราบ” จากนั้นจึงพาอาฝูออกไป
ครั้นกลับมาถึงด้านนอกวังหลิงเซียว มู่จิ่วกระตุ้นดอกบัวทองที่แขน ปรากฏแสงสีทองลอยออกมาบางๆ ค่อยๆ กลายเป็นเงาแสงอ่อนครอบคลุมไปทั้งวังหลิงเซียว เงานี้ทั้งอ่อนมากและเบามาก กลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับเมฆหมอกทีละน้อย ก่อนจะจางหายไป
มู่จิ่วกับอาฝูนั่งอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยต้นใหญ่ ต้นแปะก๊วยสูงสี่ถึงห้าจั้ง แผ่ออกเหมือนร่ม ปกคลุมไปไกลหลายลี้
สวรรค์ชั้นเก้าพื้นที่กว้างใหญ่ ด้านหน้าชั้นอันซับซ้อนของสวรรค์กลับไม่โดดเด่นนัก แต่ที่นี่มองเห็นกำแพงวังได้ครึ่งหนึ่ง เป็นที่แอบซ่อนตัวที่ไม่เลว ก่อนหน้านี้หวังหมู่เคยพูดไว้ มู่จิ่วก็เลยอยากดูเสียหน่อยว่าแท้จริงแล้วนางหวาดระแวง หรือสัญชาตญาณของนางแข็งแกร่งถึงขั้นไม่มีใครเทียมแล้ว
ดอกบัวทองบนแขนส่องสว่างน้อยๆ อยู่ตลอด แต่มีเสื้อผ้าบังไว้จึงไม่มีใครเห็น
และอาณาเขตที่แสงดอกบัวทองปกคลุมไว้มีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีอะไรชัดเจนเป็นพิเศษ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ตอนที่ดาวบนฟ้าปรากฏออกมา ใกล้ทิศทางของวังจื่อเวยพลันมีพลังวิญญาณเล็กๆ กระเพื่อมขึ้น! พลังวิญญาณที่กระเพื่อมนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะแสงดอกบัวทองบนแขนพลันสว่างและทิวทัศน์ในสายตาบิดเบี้ยวเล็กน้อย นางก็ไม่อาจค้นพบได้เลย!
วังจื่อเวยเป็นวังบรรทมของอวี้ตี้ พลังวิญญาณนั้นต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นางรีบกินยาอำพรางกายที่หวังหมู่ให้มา ก่อนป้อนอาฝู จากนั้นบินไปอย่างรวดเร็ว
ตอนพวกเขาถึงด้านหน้าสวรรค์ พลังวิญญาณนั้นลอยไปนอกวังราวกับดาวตก แล้วจึงมุ่งไปทางเหนือ!
คิดไม่ถึงว่าหวังหมู่จะคาดคะเนได้แม่นยำ อวี้ตี้ออกไปข้างนอกจริงๆ!
พริบตาเดียวมู่จิ่วก็จนคำพูด รีบก้าวขึ้นหลังอาฝูแล้วตามไป
เป็นธรรมดาที่อาฝูจะเทียบความเร็วอวี้ตี้ไม่ได้ แต่ยังดี ขอเพียงไม่เก็บดอกบัวทองบนแขนมา อย่างไรก็สามารถตามรอยได้
การเดินทางครั้งนี้พลิกภูผาข้ามทิวเขา ตอนที่มู่จิ่วกำลังสงสัยว่าเขาจะไปพบสหายที่ภูเขาไหน ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนทิศทาง มุ่งไปยังโลกมนุษย์
เขาต้องการไปโลกมนุษย์? มองเซียนหญิงบนสวรรค์จนเบื่อแล้ว ต้องการเปลี่ยนรสชาติบ้างหรือไร?
นี่อดทำให้นางนึกถึงหลี่ว์ต้งปิน[1]ไม่ได้ ดูเหมือนเทพเซียนก็มีความคิดที่จะรักกับมนุษย์!
มู่จิ่วจำต้องตามไปโลกมนุษย์
เมื่อถึงนอกประตูเมือง แสงวิญญาณนั้นลงสู่พื้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างคน อวี้ตี้สวมเสื้อไหมสีเงินยวง มือถือพัดท่าทางสง่างาม ผมหวีจนเรียบแปล้เงางาม หนวดเล็กๆ สองฝั่งเรียบร้อย กลิ่นจือหลาน (ไอริสหรือกล้วยไม้) บนร่างลอยมาตามลม บนเอวยังแขวนหยกมังกรหงส์งดงาม ด้านหลังยังตามมาด้วยมังกรทองผู้จงรักภักดี ท่าทางเหมือนผู้ไปคบชู้โดยแท้
มู่จิ่วชะงักร่างอยู่ตรงนั้น อวี้ตี้สั่งให้มังกรทองแปลงร่างเป็นผู้อารักขาแล้วหายวับผ่านกำแพงเมืองเข้าไป
นางมีเรื่องยุ่งยากแล้ว พาเสือขาวมาตัวหนึ่งจะเข้าไปอย่างไร?
นี่เป็นโลกมนุษย์!
ขณะร้อนใจอยู่ นางทำได้เพียงเอาชุดซ่อนเซียนคลุมให้อาฝู จากนั้นนำเขาเข้าประตูเมืองไป
ตอนเข้าประตู นางเงยหน้ามองป้ายด้านบน เมืองหลวงต้าหนิง
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งราชวงศ์แล้ว
การเดินทะลุกำแพงข้ามบ้าน สำหรับพวกเขาไม่เป็นปัญหาเลย เมื่อมาถึงที่นี่ ถ้าต้องการหาร่องรอยเซียนก็สะดวกแล้ว คนธรรมดาไม่มีพลังวิญญาณ ดอกบัวทองไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับพวกเขา และอวี้ตี้ปรากฏตัวที่นี่ด้วยร่างจริง บนศีรษะต้องมีไอมงคล เพียงตามไอมลคลในอากาศไปย่อมไม่มีปัญหา
ชัดเจนว่าอวี้ตี้ไม่รู้ตัวว่ามีคนตามรอยเขามาถึงที่นี่ เข้ามาในเมืองก็เดินไปทางถนนใหญ่ทางตะวันออก โลกมนุษย์เป็นกลางฤดูร้อนพอดี ถึงแม้เป็นกลางคืน คนเดินบนท้องถนนกลับยังคึกคัก ร้านรวงสองข้างทางล้วนปิดกันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีพ่อค้าเร่ผ่านไปมา อวี้ตี้เดินอยู่ในกลุ่มคนก็ยังดึงดูดสายตา ชายหญิงบนถนนจำนวนไม่น้อยจ้องมองเขา
มู่จิ่วเดินตามรอย ไม่นับว่าใกล้เกินไป และไม่นับว่าไกลเกินไป มีกลิ่นคาวโลกีย์ขวางกั้นอยู่ อวี้ตี้ก็ไม่อาจรู้สึกตัวได้ง่ายขนาดนั้น
…………………………
[1]หลี่ว์ต้งปิน เป็นเซียนองค์ที่สามในแปดเซียน (โป๊ยเซียน)