“อาจิ่ว!”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงของลู่ยาพลันลอยมาข้างหู ร่างของนางร่วงหล่นสู่อ้อมอกเขาตอนไหนไม่อาจทราบได้ นางเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าที่สงบราบเรียบอยู่เป็นนิจของเขากลับมีความร้อนรนปรากฏอยู่!
นางออกมาแล้วจริงหรือ?!
มู่จิ่วพลิกตัวออกมาจากอ้อมอกเขา มองโลกอันสว่างไสวอย่างมึนงง
ที่นี่ยังคงเป็นวังหลวงของเสือลายเหลือง แต่บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพ ทุกคนถูกสังหารสิ้น เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รู้ไปไหน แต่งูแดงถูกหั่นออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งอยู่บนยอดหลังคา ทำให้ยอดหลังคาถล่มลงมา ส่วนอีกซีกหนึ่งตกอยู่บนพื้น ไม่ว่าที่ไหนก็เต็มไปด้วยเลือด ไม่มีหลุม ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีหลุม!
คนผู้นั้นกลับดึงนางขึ้นมาจากใต้ดินโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ!
“เจ้ายังไม่ตาย! ข้าคิดว่าเจ้าโดนเสือลายเหลืองเหล่านั้นกลืนลงท้องไปแล้ว!”
ตอนนี้เองที่จื่อจิ้งโผเข้ามาพูด คล้อยหลังเสียงอันดังของเขา เหลียงจีและอาฝูที่อยู่ห่างออกไปก็ตามเข้ามา
“พี่สาว!”
เสือน้อยตัวมอมแมมตัวหนึ่งยกอุ้งเท้าสัมผัสแขนนางเบาๆ ร่างที่มีขนฟูฟ่องช่างร้อนรน มู่จิ่วจ้องเขาอย่างตกตะลึงอยู่สักพัก ถึงได้เห็นหน้าที่คุ้นชินของอาฝูจากขนสกปรกนั้น “ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้? เจ้าพูดได้แล้วหรือ? เจ้า…เจ้าผ่านด่านเคราะห์แล้ว?!”
“ใช่แล้ว!” เหลียงจีพูดด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยได้ ช่างดีจริงๆ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่พวกเรากังวลกันขนาดนั้น? เซิ่งจุนลงไปหาเจ้ากี่ครั้งก็หาไม่พบ!”
“ที่แท้เขารู้นานแล้วว่าอาฝูจะผ่านด่านเคราะห์วันนี้ แต่เพราะอาฝูยังมีเรื่องพัวพันไม่จบ จำต้องลงมือจัดการกับเซวียนหยวนฮุ่ยก่อนอสุนีบาตถึงจะมาได้ เมื่อครู่ขณะที่เจ้าทำให้เสือลายเหลืองบาดเจ็บแล้วร่วงลงไป เจ้าขาวน้อยก็เกิดคลั่งและสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยไป หลังอสุนีบาตฟาดลงมาเขาก็พูดได้แล้ว”
มู่จิ่วหวนนึกกลับไป พบว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง ตอนที่นางร่วงหล่นลงไปก็ได้ยินเสียงอสุนีบาต นั่นหมายความว่าไม่เพียงอาฝูผ่านด่านเคราะห์ แต่ยังสำเร็จอีกด้วย!
“ดียิ่ง!” นางกอดอาฝูอย่างอดไม่ได้ หอมหน้าสกปรกมอมแมมของเขา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?!” ลู่ยาจับข้อมือนางแน่น บนใบหน้าไหนเลยจะยังมีความสงบนิ่งอยู่
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดกับเขาอย่างไรดี นางรู้สึกตื่นตระหนกและสงสัย ทั้งยังดีใจและไม่เข้าใจ เอ่ยไม่ออกเหมือนตอนนางอยู่ต่อหน้าคนเสื้อเขียวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวผู้นั้น ตอนนี้นางกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วนก็ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด…นั่นช่างประหลาดนัก ทำไมแม้แต่ลู่ยาก็ยังหานางไม่เจอ?!
“เอาละ! พวกเรากลับไปโหย่วเจียงก่อนค่อยว่ากัน”
ลู่ยาเห็นนางตกตะลึงไม่พูดสิ่งใด จึงรีบพยุงนางขึ้นมาแล้วเรียกทุกคน
ทุกคนไม่กล้าชักช้า รีบมารวมตัวกัน ไม่นานก็ขึ้นเมฆขี่กลับอาณาจักรโหย่วเจียงไป
เพิ่งมาถึงประตูเมือง ก็เห็นองค์ชายรองต๋าเจานำพลทหารม้ามาถึงหนานเซียงแล้ว หลังจากเหลียงจีพูดคุยกับเขาอย่างง่ายๆ เสร็จก็ออกเดินทางต่อ
ระหว่างทางมู่จิ่วค่อยๆ สงบใจลง เมื่อถึงครึ่งทางจึงฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ แต่ก็ยังคงครุ่นคิดอยู่ตลอด ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลย ลู่ยาไม่รู้ว่านางพบเจอสิ่งใดมา นึกร้อนใจอยากกลับไปให้ถึงที่หมายเร็วหน่อยเพื่อสอบถาม จึงจูงมือนางโดยไม่ได้เอ่ยคำเช่นกัน
อาฝูเพิ่งพูดเป็นแต่ยังพูดไม่มากนัก หมอบอยู่บนเมฆเงียบๆ เหลียงจีรู้สึกสงบใจที่ช่วยสามีกลับมาได้ และยังยินดีที่อาฝูผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ ทว่ามือกำน้ำเต้าหยกแน่น ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรจึงเหมาะสม ส่วนจื่อจิ้งทำหน้าตึงด้วยความโกรธเคือง พวกอวี๋เหิงเห็นทุกคนไม่พูดก็ย่อมไม่กล้าพูดเช่นเดียวกัน
ตอนที่มาถึงกำแพงเมืองโหย่วเจียง ราชาและราชินีเสือขาวออกมาต้อนรับ เห็นแต่ละคนหน้าตาเคร่งเครียด เข้าใจไปว่าข่าวที่ได้รับมาผิดพลาด จึงรีบถามไถ่ “ซื่ออินไม่ได้กลับมาหรือ? หรือว่าเกิดเรื่องกับเขา?”
เหลียงจีไม่อาจทนได้ วิ่งเข้าไปยื่นน้ำเต้าหยกทั้งน้ำตา “ซื่ออินกลับมาแล้ว! เขาบาดเจ็บหนักแต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้!”
ราชาราชินีเสือขาวผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่เพราะโล่งใจเร็วเกินไป ราชินีจึงเกือบล้มลงไปกับพื้น ยังดีที่เหลียงจียื่นมือไปประคองไว้
“รีบเชิญเซิ่งจุนกับแม่นางกัวเข้าไปนั่งในตำหนัก!”
คล้อยหลังคำสั่งของราชาเสือขาว กลุ่มคนทั้งหมดก็เข้าไปในตำหนัก
ลู่ยาไม่มีใจจะนั่งลงดื่มชา เขาส่งน้ำเต้าหยกให้ราชาเสือขาว “น้ำเต้านี้มียารักษาบาดแผลอยู่ ให้ซื่ออินรักษาตัวอยู่ในน้ำเต้านี้สี่สิบเก้าวันก่อน แล้วค่อยให้เขาออกมา” จากนั้นจึงลากมู่จิ่วไปยังหอเล็กที่ราชาเสือขาวเตรียมให้พวกเขา
จื่อจิ้งไม่อาจปล่อยโอกาสอันดีนี้ไป ขยับตัววูบตามไปอย่างรวดเร็ว
อาฝูเห็นเขา ก็ยกก้นวิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วย
เหลียงจีเห็นลูกไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนั้น จึงไล่ตามไปเหมือนกัน “เจ้าขาวน้อย!”
ไม่นานคนหลายคนก็ตามกันเข้าไปในห้องโถง ลู่ยาไม่สนใจผู้อื่น เอาแต่ถามมู่จิ่ว “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? เจ้าพบเจออะไรมา?!”
มู่จิ่วตอบ “ข้าเห็นคนผู้นั้น!”
พวกเหลียงจีได้ยินคำนี้เข้าพอดี ย่างก้าวพลันชะงัก ก่อนตามเข้ามาข้างใน “เจ้าพบใคร?”
“คนเสื้อเขียวที่หลอกเจ้าไปควบคุมให้เซวียนหยวนฮุ่ยหลอมวิญญาณร้าย!”
เหลียงจียืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ลู่ยาตื่นตกใจ ขมวดคิ้วทันที “เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเดี๋ยวนี้!”
มู่จิ่วรินชาบนโต๊ะ ปรับลมหายใจ แล้วจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “เขาสวมเสื้อเขียว อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี สายตาเย็นชาดุดันยิ่งนัก แต่เมื่อยิ้มความเย็นชานั้นก็หายไป ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้โมโหเลย และไม่ได้ข่มขู่หรือกดดันข้า สุดท้ายยังส่งข้าออกมาโดยไร้เงื่อนไข!”
เมื่อหวนนึกถึงเรื่องตอนนั้น ใจนางก็ยังตื่นเต้น ไม่ใช่กลัว แต่เป็นความตื่นเต้นที่เขาพลันปรากฏตัวขึ้นโดยที่นางไม่ได้เตรียมตัว หากเขาเป็นคนร้ายที่ก่อคดีมากมาย นางใกล้กับเขาเช่นนั้น หากนางมีความสามารถมากพอคงจับเขามารับโทษได้…
แต่ในเมื่อเขาสามารถอยู่ในที่ที่แม้แต่ลู่ยายังจับกลิ่นอายของนางไม่ได้ จะถูกจับกลับมาง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?
ท่าทางสบายๆ ของเขาไม่ใช่การเสแสร้ง เขาไม่ลำบากใจก็ไม่ใช่การเสแสร้ง เขาเชื่อมั่นในตนเองว่ามีกำลังมากพอ ถึงได้ยอมรับอย่างไม่ปิดบังว่าตนเองคือคนที่พวกนางตามหามาตลอด!
ทั้งที่นางรู้จักเขาดี ใกล้กับเขาเช่นนี้กลับทำอะไรไม่ได้!
นางนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ยังคงรู้สึกว่าตอนนั้นประหลาดนัก
ทุกคนล้วนตกใจ ยกเว้นจื่อจิ้ง…เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่ยามองนางนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เจ้าจำหน้าเขาได้หรือไม่?”
เหลียงจีเงยหน้าขึ้นมาทันที
มู่จิ่วได้ยินก็นิ่งอึ้งไป “ใช่…ข้าจำหน้าเขาได้! จำได้อย่างชัดเจนยิ่ง!”
อวิ๋นฉัวกับเหลียงจีล้วนจำไม่ได้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร แต่นางกลับจำได้ชัดเจน…
ลู่ยามองมู่จิ่ว พลันพลิกมือนางขึ้นมา กดพลังวิญญาณลงไปบนมือนาง จากนั้นภาพเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้น!
คนผู้นั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปสี่ห้าฉื่อ ปอกส้มให้นาง พูดคุยกับนาง ชัดเจนยิ่งทุกอณู แต่ใบหน้าของเขากลับอยู่เบื้องหลังเงามืดตลอดเวลา!
…………………………………………