ลู่ยานิ่งเฉย แต่หลังจากยิ้มน้อยๆ เขาก็เงียบลง อันที่จริงการบอกว่าชายชุดเขียวคือจุ่นถีเป็นการคาดเดาที่เห็นชัดที่สุด แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดก็ยากจะยืนยัน แต่เขาก็หวังว่าจะไม่ใช่จุ่นถีเช่นกัน ทว่าหากไม่ใช่จุ่นถี เช่นนั้นแล้วเขาคือใคร? ทงเทียนเจี้ยวจู่หรือ? อีกทั้งจุ่นถีไปไหน? ทำไมต้องเร้นกาย?
“เอ๋?”
ยามกำลังครุ่นคิด หุนคุนพลันมองชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในภาพ จากนั้นมองลู่ยาผู้นั่งอยู่บนหิน อดพูดออกมาไม่ได้ “ทำไม่ข้ารู้สึกว่า…” แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้เขากลับกลืนคำพูดที่เหลืออยู่ลงไป
“รู้สึกอะไร?”
“ไม่มีอะไร” หุนคุนส่ายหน้า สายตามองเขาซ้ำไปซ้ำมาราวกับกระสวยทอผ้า “ความสามรถของคนผู้นี้ไม่น้อย แม้แต่วิชาบิดเบือนภาพมายายังทำได้ รูปร่างหน้าตาก็ดูไม่เลวนัก ดูไปแล้วหนทางความรักของเจ้าจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว”
วิชาบิดเบือนภาพมายาคือวิชาที่ชายชุดเขียวลบภาพของตนเองในภาพไป ถ้าคนปกติต้องการลบร่องรอยตนเอง ส่วนมากต้องลบออกไปทั้งหมด แต่ลบภาพเพียงส่วนเดียวออกและยังแสดงความสามารถภายใต้การควบคุมของลู่ยาได้ นับว่าความสามารถไม่น้อยเลย
ลู่ยาส่งสายตาทิ่มแทงเขา อารมณ์ไม่ดีนัก
ในเมื่ออีกฝ่ายบอกแล้วว่าไม่ใช่หลิวหยาง เช่นนั้นเขาตัดสินใจไปหาม่อเหยียนก่อนดีกว่า
ปีนั้นหลังจากทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้ไปยังเผิงไหล ภายหลังศิษย์ของเขาม่อเหยียนสถาปนาตนเองพร้อมสร้างภพมารที่สวรรค์ชั้นหกซิวหมี (เขาพระสุเมรุ)
ในความเป็นจริง ยามแรกภพมารมีกฎเกณฑ์ชัดเจน ตอนนั้นยังเป็นพระราชวังต้องห้ามหลัวเฟิงและขุมนรกทั้งสิบขุม ภายหลังผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายปี หรืออาจเพราะว่าลูกศิษย์ของทงเทียนเจี้ยวจู่เข้าสู่ภพมาร ภพมารจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ สุดท้ายม่อเหยียนกลายเป็นราชาปกครองภพมาร สงครามปีนั้นภพมารก็ถูกล้างบางใหม่อีกครั้ง
รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงขอไม่เอ่ยถึง สรุปคือตอนนี้ภพมารปกครองเพียงมารและปีศาจ ส่วนวิญญาณถูกควบคุมโดยสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาเขตแดนทั้งหกภพก็ถูกแบ่งแยกชัดเจน แน่นอนว่าในเก้าทวีปสี่ทะแลแต่ละสถานที่อาจมีเผ่าเทพและเผ่ามารอยู่ด้วยกัน แต่นั่นเพราะปีนั้นม่อเหยียนและอวี้ตี้ทำสัญญาปรองดองกัน ถึงแม้อยู่ด้วยกันก็ไม่เคยมีปัญหาใหญ่อะไร
และเพราะแบบนี้ ภพมารจึงสงบมานานหลายปี
แต่พวกเขาสงบมานานหลายปีเช่นนี้ ไม่แน่ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่หรือไม่?
ลู่ยายืนขึ้นปัดๆ เสื้อก่อนออกจากสวรรค์อันสูงส่งไป
มู่จิ่วเพิ่งเลิกจากงานกลับมา กำลังมองหาลู่ยา เพิ่งไปถึงประตูลานบ้านก็เห็นเขาเดินอาดๆ เอามือไพล่หลังเข้ามา
ลู่ยาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกเรื่องที่ตั้งใจจะไปสวรรค์ชั้นหกซิวหมี จากนั้นเอ่ยถาม “เจ้าอยากไปหรือไม่?”
ความจริงเขาลังเลที่จะถามเรื่องนี้ ตามเหตุผลเขาควรพานางไปด้วย แต่ครั้งนี้ไปเพื่อยืนยันว่าม่อเหยียนใช่ชายชุดเขียวหรือไม่ หากเขาใช่ชายชุดเขียวจริง เช่นนั้นนางไปด้วยก็ยากจะหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วน
“ไปแน่นอน!” มู่จิ่วตอบ พูดจบก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โดยที่ยังไม่ทันนั่งดี
นางอยากไปเปิดหูเปิดตายังสถานที่ลึกลับนี่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เรื่องแบบนี้จะขาดนางไปได้อย่างไร?
ลู่ยาก็รับปากแล้ว
หลังจากนางเปลี่ยนชุดปฏิบัติงานแล้วก็ไปทางตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกัน
สวรรค์ชั้นหกซิวหมีอยู่ระหว่างปรโลกและโลกมนุษย์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสี่ทะเลเก้าทวีป
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
ครั้นเงยหน้าขึ้นมา ในเขตแดนทุกที่ล้วนเป็นยอดเขาสูง ถึงแม้ภูมิประเทศไม่ได้ต่างจากที่อื่นมากไหร่นัก แต่พื้นผิวกลับแตกต่างยิ่งนัก หุบเขาริมน้ำไม่ปกคลุมด้วยหิมะก็เต็มไปด้วยใบไม้เหี่ยวแห้ง หรือดอกไม้บานเต็มเส้นทาง บางทีก็มีแสงแดดแผดเผา สถานที่นี้ห่างกันไม่กี่ลี้ก็ต่างฤดูกัน ระหว่างทางที่ผ่านมาอุดมสมบูรณ์สดใส หากละทิ้งความหวาดกลัวต่อภพมารไปจะเป็นสถานที่งดงามทีเดียว
แต่นี่กลับไม่ใช่ศูนย์รวมอำนาจของภพมาร
หลังจากเดินไปได้หลายพันลี้ ทิวทัศน์สี่ฤดูค่อยๆ หายไป ปรากฏทิวเขาขนาดใหญ่ ทิวเขาล้วนเป็นยอดเขาหิน ด้านบนปกคลุมไปด้วยป่าหนาทึบ ต้นไม้สูงอย่างน้อยสี่ห้าจั้ง ทั้งยังมีเถาวัลย์ทอดยาวต่อเนื่อง สัตว์หายาก ใบไม้ร่วงสูงไม่เกินเข่า เมื่อเงยหน้าขึ้นไป มีงูตัวใหญ่ดวงตากว้างราวกับโคมมองอยู่ห่างออกไปครึ่งฉื่อ
ลู่ยาไม่ได้แอบซ่อนพลังวิญญาณ เพียงปลอมมู่จิ่วเป็นผู้ชาย เพราะตอนเข้ามาในภพซิวหมีได้ใช้พลังวิญญาณทำลายเขตพลัง และเพราะไม่ได้มาที่นี่หลายปี หากแปลงกายเข้ามาอาจทำให้เกิดข้อเข้าใจผิดทั้งยังเสียเวลา ดังนั้นเขาจึงเก็บไอมงคลและพลังวิญญาณไป
มู่จิ่วเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังและเชื่องช้า กลัวว่าหากไม่ระวังเข้าอาจถูกมารโจมตี
ไหหเลยจะรู้ว่าเหล่าปีศาจไม่ได้พบเจอคนภายนอกมาหลายปี เมื่อรู้ว่ามีเทพเซียนเข้ามาจึงบอกต่อกันไปทั่ว แย่งกันออกมามุงดู
ปีศาจงูตัวนั้นเห็นมู่จิ่วที่ทั้งขาวผ่องและอ่อนนุ่ม น้ำลายก็ไหลนองเต็มพื้นในพริบตา ไม่แยกว่าเป็นหญิงชาย โยกย้ายเอวเข้ามาวอแว แต่เมื่อเข้ามาดูใกล้อีก ด้านข้างกลับผู้มีที่งดงามยิ่งกว่า ไม่เพียงมีรูปร่างดีกว่ามู่จิ่ว แต่ใบหน้ายังงดงามไม่มีผู้ใดเปรียบ ศีรษะก็อ่อนแรง หมอบลงไปตรงเท้าลู่ยาทันที
ปีศาจหมาป่าก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ในภพมารจะไม่ขาดแคลนชายงาม แต่ความงามเช่นนั้นเห็นกันจนเบื่อแล้ว เมื่อพลันเห็นคนสองคนเจิดจรัสถึงเพียงนี้ ดวงตาทั้งสองก็ปรากฏความกระหายอยาก ต้องการฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาทั้งสองด้วยสายตา ด้านหนึ่งลากพวกเขาด้านหนึ่งเข้าถ้ำร่วมสุขสม แต่เมื่อถึงไปตรงหน้า อยากจะสัมผัสแต่ก็ไม่กล้า ขมขื่นจนทำให้มู่จิ่วสับสนแทนพวกเขา
ยังมีปีศาจแมงมุมมากันฝูงใหญ่เหมือนแมลงวันได้กลิ่นเนื้อ แมวได้กลิ่นคาวปลา ผึ้งฝูงหนึ่งบินเข้ามาล้อมพวกเขาทั้งสองไว้ เคลื่อนสายตามองพวกเขาจนพอใจ กระทั่งเห็นส่วนที่ชอบยังจับมือกันเต้นรำ!
ยังมีบางส่วนเข้ามาดมเสื้อมู่จิ่ว ดึงปิ่นที่ปกผมนางอยู่ออก ก่อนปักลงไปบนหัวกลมๆ ของตนเอง จากนั้นยื่นหน้าไปมองลู่ยา แรงกดดันบนร่างลู่ยาเข้มข้นนัก พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ไม่เข้าใกล้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจดจ้องของพวกเขา ดังนั้นจึงได้เห็นเหล่าแมงมุมไม่ว่าตัวผู้หรือตัวเมีย ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ส่งสายตาให้ลู่ยา
เรียกได้ว่ามู่จิ่วได้รับบททดสอบที่รุนแรงที่สุด แต่เดิมเข้าใจว่าซิวหมีเป็นสถานที่อันตราย คิดไม่ถึงว่ากลับเต็มไปด้วยโรคจิต! ครั้งก่อนไปหอโคมเขียวกับอ๋าวเจียง เห็นเหล่าหญิงคณิกาก็นับว่าได้เปิดเผยมากแล้ว แต่มารเหล่านี้กลับเหมือนแสดงความกระหายอยากต่อพวกนางไว้บนหน้าเลยทีเดียว!
“พวกเขาวอแวกับเจ้าก็แล้วไปเถอะ ทำไมถึงต้องจับตามองข้าด้วย?”
มู่จิ่วซ่อนอยู่ใต้แขนลู่ยา รู้สึกจนปัญญากับความจริงนี้
ลู่ยาโอบนางเดินไปข้างหน้าราวกับไม่มีผู้อื่นอยู่พลางเอ่ย “แต่ก่อนคำสอนที่ทงเทียนเจี้ยวจู่สร้างขึ้นให้อิสระในการบำเพ็ญ บวกกับสองภพมารปีศาจทำตามอำเภอใจ หลังจากที่ม่อเหยียนรับช่วงต่อ ในสายตาของพวกมารปีศาจ การเลือกคู่ครองไม่จำเป็นต้องแบ่งชายหญิง เพียงอาศัยความสมดุลของหยินหยางเท่านั้น พวกเขาไม่สนว่าเป็นชายหญิงเด็กหรือแก่ เพียงถูกตาต้องใจก็สมสู่กันได้”
“นั่นมันช่าง..”
“จากคำบอกเล่า มีมารประเภทหนึ่งต้องทำเรื่องพรรค์นั้นเป็นระยะเวลานานเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญ” ลู่ยาไม่รอให้นางพูดจบก็เสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา
………………………………………