มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี
นี่เป็นโลกแบบไหนกันแน่…สมสู่กันตลอดปี? หมายถึงต่อเนื่องไม่หยุดเช่นนั้นหรือ?
มู่จิ่วรู้สึกว่าขนที่นิ้วเท้าลุกชัน
เป็นเช่นนี้ตลอดแม้จะผ่านมาครึ่งเนินเขาแล้ว สัตว์ที่พบเจอล้วนเป็นอย่างนี้กันหมด เหมือนพวกถ้ำที่มองพอได้ข่าวก็ดาหน้ากันออกมา ทำให้มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองเป็นมนุษย์ต่างดาวที่หลงเข้ามาในโลกมนุษย์
แน่นอนว่าส่วนที่สะดุดตาเป็นพิเศษก็มีไม่น้อย เช่นคนปีศาจที่ผ่านทางมา…หรือก็คือคนที่ฝึกบำเพ็ญทางสายมารประเภทหนึ่ง ปกติพวกเขาฉลาดกว่าเหล่าสัตว์ปีกมากนัก สามารถมองฐานะสูงต่ำของอีกฝ่ายออก ครั้นเห็นรูปร่างหน้าตาพวกเขาเหนือสามัญก็เดินเข้ามาถามทันที “ขอบังอาจถาม พวกท่านมาจากที่ไหน? มาทำอะไรที่นี่?”
ถึงแม้มู่จิ่วจะตกใจและเห็นสิ่งพิสดารอยู่ตลอดทาง แต่เมื่อคิดดีๆ กลับไม่มีปีศาจมารตนใดผลีผลามเข้ามาทำร้าย พวกมันทุกตนล้วนไม่ผิดบังความป่าเถื่อนในใจ แต่กลับปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ปีศาจมารเหล่านี้แม้จะป่าเถื่อนทว่าควบคุมตนเองได้ ทำให้นางต้องมองพวกมันใหม่
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว นับว่าม่อเหยียนปกครองสวรรค์ชั้นหกซิวหมีได้ไม่เลวเลยจริงๆ
ลู่ยาตอบ “มาหาม่อเหยียน”
คนปีศาจตนนั้นมีสีหน้าประหลาดใจ “ท่านมาหาราชามารของพวกเรา?”
“ใช่แล้ว” ลู่ยาเลิกคิ้ว “หรือเขาไม่อยู่?”
นี่ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนเขามาเขาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว แน่ใจว่าม่อเหยียนอยู่ที่ซิวหมี
“อยู่ เขาอยู่” คนปีศาจพยักหน้าทันที จากนั้นมองลู่ยาก่อนมองมู่จิ่วอีก แล้วนำทางไปทันที
มู่จิ่วไม่เข้าใจเจตนาของคนปีศาจ นางรู้สึกเพียงว่าสายตาของอีกฝ่ายเหมือนมีดปอกแตง เมื่อมองไปแล้วเหมือนต้องการปอกนางกับลู่ยา
นางมองลู่ยาด้วยความฉงน ลู่ยากลับสงบนัก ก้าวตามหลังคนปีศาจนั้นไป
เดินไปตามเนินเขาไม่นานก็มาถึงบันไดหินที่กว้างราวสองจั้ง เดินขึ้นไปอีกหลายลี้ ยอดเขาสูงด้านหน้าก็ปรากฏให้เห็นแสงโคม เมื่อมองดีๆ จะเห็นเป็นวังที่เรียงรายเต็มบนเขา วังสร้างไว้ที่ริมผา ครอบคุมพื้นที่ทั้งภูเขา ไม่รู้ว่ากว้างขวางเท่าไหร่ภายใต้เมฆหมอกนี้ เพียงรู้สึกว่าขอบผาชันยิ่ง ระหว่างทางมีสิ่งปลูกสร้างมากมาย
บนผาเต็มไปด้วยดอกพลับพลึงแมงมุม (ฮิกันบานะ หรือ สไปเดอร์ลิลี่) ที่บานเต็มที่ สีแดงเลือดของดอกไม้ตัดกับก้านสีเขียว โดดเด่นสะดุดตายิ่งเมื่ออยู่บนผาสีเทาดำ
ที่จริงไม่จำเป็นต้องให้คนปีศาจนำทาง ลู่ยาก็สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว แต่เดินไปตามทางนี้ก็ไม่มีอะไรเช่นกัน
เมื่อมาถึงผา ฝั่งริมผาเป็นแท่นสำหรับชมวิว ประตูวังเปิดอยู่อีกฝั่ง ป้ายชื่อหินขนาดใหญ่สีดำมะเมื่อม ด้านบนสลักห้วงจักรวาล ทุกหกจั้งจะมีเขตพลังที่ประตูชั้นหนึ่ง คนปีศาจพาพวกเขามาถึงชั้นที่สามก็เข้าไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องใช้พลังวิญญาณส่งข่าวบอกคนด้านในแทน จากนั้นค้อมตัวทำความเคารพพวกเขาทั้งสอง เหลือบมองเล็กน้อยก่อนเดินจากไป
มู่จิ่วอดลูบหน้าไม่ได้ เมื่อมองลู่ยาก็เห็นชัดว่าไม่มีดอกไม้งอกออกมา
ไม่นานมีคนเดินออกมาจากด้านในเขตพลัง บุคคลนี้ไม่รู้จักลู่ยาเช่นเดียวกัน จ้องมองพวกเขาอยู่นานค่อยนำทางเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
มู่จิ่วยิ่งสงสัยมากขึ้น
การกระทำของภพมารเหมือนไม่ได้ทำตามแบบแผน ดีร้ายอย่างไรก็เป็นวังมารที่มีชื่อเสียง กลับไม่ถามถึงที่มาที่ไปก่อนให้คนเข้ามาเสียนี่
พวกเขาไม่กลัวว่าพวกมู่จิ่วจะมาก่อกวนหรือ?
ลู่ยายังคงไม่พูด ใบหน้าสงบราวกับกลับมาบ้านตนเองก็ไม่ปาน
ในความเป็นจริง นอกจากเรื่องสีหน้าของคนที่เดินนำพวกเขาออกจะประหลาดไปบ้าง ส่วนอื่นของวังมารนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ฝีเท้าของคนในวังมั่นคง สีหน้าราบเรียบ ไม่เหมือนว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น
ในเมื่อไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เช่นนั้นพวกเขามองพวกมู่จิ่วด้วยสีหน้าเช่นนั้นทำไม?
“ราชามารกำลังพักผ่อน พวกท่านเข้าไปก็พอแล้ว”
ระหว่างที่พูดก็เข้ามาด้านในประตูวังแล้ว ชาววังที่นำทางมาชี้ทางอยู่ตรงปากประตู ก่อนจะถอยไปยืนนิ่งหลายก้าว
เขาก็ไม่พาพวกนางเข้าไปเหมือนกัน?
มู่จิ่วยิ่งสับสนขึ้นทุกที ลู่ยากลับพูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อมาแล้วก็ไปเถิด” จากนั้นเดินเข้าประตูไปก่อน
เพียงแต่ตอนเข้าประตูไปนั้นกลับจับมือมู่จิ่วโดยไม่รู้ตัว ฝีเท้าก็ช้าลง
นี่ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมู่จิ่วเช่นเดียวกัน วังมารไม่ได้มืดทึบอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ทุกที่กลับสว่างด้วยโคมไฟ ม่านปลิวไสว วัสดุที่ใช้ล้วนเป็นหยกขาว นอกจากสัญลักษณ์หลากสีแผ่กลิ่นอายโบราณที่สลักไว้บนหยก สัตว์ปีศาจที่ไม่รู้เรียกว่าอะไรซึ่งเฝ้ายามอยู่ตรงระเบียงทางเดิน และดอกพลับพลึงแมงมุมที่เห็นได้ทั่วทุกพื้นที่ อย่างอื่นที่เหลือล้วนไม่ต่างอะไรจากสวรรค์
ในความทรงจำนาง สถานที่ที่ปีศาจมารอยู่น่ากลัวยิ่งนัก แต่สถานที่นี้กลับดูเป็นมงคล ช่างทำให้คนแปลกใจจริงๆ
ลู่ยามองความสงสัยของนางออกจึงเอ่ย “ทงเทียนเจี้ยวจู่เป็นอาจารย์ม่อเหยียน แม่ทัพส่วนมากล้วนเป็นศิษย์ของลัทธิเจี๋ยในยามนั้น เส้นทางบำเพ็ญของพวกเขาเป็นสายธรรม เพียงแค่ความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น ถึงแม้แนวทางการประพฤติตนของพวกเขากับภพเซียนจะต่างกันมาก แต่นอกจากเรื่องทำตามอำเภอใจ เรื่องอื่นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีแบบแผนและมั่นคงเผ่าหนึ่ง”
มู่จิ่วเข้าใจดี จากนั้นจึงคิดถึงปิศาจและมารที่พบเจอระหว่างทาง ไม่มีปีศาจมารตนไหนไม่อยู่ในขอบเขตแล้วทำตามอำเภอใจ แม้แต่ปีศาจในป่ายังรู้สึกเช่นนี้ มิน่าล่ะ หลายปีมานี้ภพมารจึงสงบสุขไร้คลื่นลม
เช่นนี้ดูไปแล้วม่อเหยียนก็มีความสามารถอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเหมือนกับชายชุดเขียวผู้นั้นกี่ส่วน?
หากชายชุดเขียวไร้ความสามารถ จะยิ้มบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติต่อหน้านาง และจะกล้าลักพาตัวนางภายใต้จมูกลู่ยาได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงวิชา เอ่ยถึงเพียงท่าทางสงบราบเรียบนั้นก็มีน้อยคนนักจะเปรียบเทียบได้
เมื่อลู่ยาไม่พูด นางก็ไม่พูด
เดินไปเช่นนี้บนถนนสายเล็กๆ ก็พบกับตำหนักขนาดใหญ่สูงราวห้าหกจั้งที่ปลายถนน รั้วหยกที่หน้าตำหนักเต็มไปด้วยดอกสีขาวราวหิมะขนาดใหญ่ที่ไร้นาม ก้านดอกยื่นเข้าไปในระเบียงทางเดิน ตัดกับระเบียงหยกเขียวและม่านมุกสีแดงในประตูวัง ภาพนั้นพลันดูสวยงามลึกล้ำ
นี่ทำให้มู่จิ่วอดหวนนึกถึงห้องมืดสนิทที่นางอยู่กับชายชุดเขียววันนั้นไม่ได้ ความงดงามขอองห้องมืดนั้นคล้ายกับวังมารอยู่หลายส่วน ใจนางยิ่งตื่นเต้น อีกทั้งบรรยากาศในวังมารก็ไม่ปกติเท่าไหร่นัก ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมเหล่าปีศาจน้อยที่นำทางมาก่อนหน้านี้จึงมีท่าทางเช่นนั้น?
นางมองลู่ยา เขาหันมาลูบท้ายทอยนาง จากนั้นเดินข้ามธรณีประตูไป
แต่ยังไม่ทันให้นางได้มองทิวทัศน์ของวังชัดเจน ก็พลันมีคนผู้หนึ่งบินเข้ามาหานางด้วยท่าทางประหลาด…
ลู่ยาดึงนางมาแต่ไม่ได้ย้ายที่ คนที่บินเข้ามางอร่างอยู่กลางอากาศก่อนร่วงลงไปบนพื้น มู่จิ่วเบิกตากว้าง ใจที่กำลังเต้นรัวอยู่เมื่อครู่เกือบหยุดไปแล้ว!
ที่แท้เป็นบุรุษร่างเปลือยเปล่าขาวผ่องผู้หนึ่ง! เขานอนหมอบอยู่ที่พื้น ทั้งยังร้องโอดครวญ…
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
มู่จิ่วตะลึง แต่ลู่ยาไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเห็นชัดว่าสิ่งที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นคืออะไร เขาพลันจับหน้านางหันไปทิศตรงกันข้ามด้วยความเร็วแสง!
…………………………………………………