ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย คนที่ขโมยหินวิญญาณมารไปคือชายชุดเขียว
แต่ก่อนเขาเข้าใจว่ามีเพียงความสามารถในการหลอมวิญญาณเทพและวิญญาณร้ายเท่านั้น แต่คิดอีกทีของวิเศษเหล่านั้นหลอมวิญญาณเซียนได้ หินวิญญาณมารสามารถหลอมวิญญาณร้าย ตอนนี้การคาดเดานี้ก็ถูกลบล้างไปแล้ว
“พูดเช่นนี้แสดงว่าเขามีแผนแน่” ลู่ยาเอามือไพล่หลังมองเตาหลอม เอ่ยราวพูดกับตนเอง
ม่อเหยียนเดินขึ้นไปข้างหน้าพลางมองข้างล่าง “เมื่อก่อนข้าม่อเหยียนติดตามอาจารย์ต่อต้านภพเซียน นับได้ว่าเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ถึงตอนนี้รู้ว่ายังมีอีกคนเช่นนี้อยู่อีก ข้าก็อดสนใจไม่ได้”
น้ำเสียงของเขายังคงเกียจคร้าน แต่คำพูดกลับเจือความเย็นเยียบทำให้คนฟังหนาวสั่น
มู่จิ่วมองไปยังเตาหลอมพร้อมกับพวกเขา นางที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ก่อนมานั้นได้เตรียมใจไว้อย่างดี ยามนี้รู้ว่าม่อเหยียนไม่ใช่ชายชุดเขียว บทสรุปนี้ไม่นับว่าเหนือความคาดหมาย
แต่ชายชุดเขียวกลับขโมยหินวิญญาณมารไป…เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? ล้างแค้นหกภพ? มีเพียงความแค้นเท่านั้นจึงจะสมเหตุผล ความโกรธแค้นทำให้คนทำเรื่องผิดสามัญเสมอ อย่างเช่นหลินเจี้ยนหรูกับสำนักแรกพยับ นางไม่คิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นเช่นนั้น หากในหกภพมีคนรังแกชายชุดเขียวมาก่อนเล่า?
…แต่ชายชุดเขียวที่นางเห็น เขาไม่มีกลิ่นอายความโกรธแค้น กลับกัน กลิ่นอายของเขานับได้ว่าเป็นกลิ่นอายมงคล…
เป็นความรู้สึกนางที่ผิด หรือเขาทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอื่น?
นางคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ
ลู่ยากลับผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับยามเข้ามา ตอนที่จะจากไปยังมีท่าทีสนิทชิดเชื้อกับม่อเหยียน
กลับมาวังมารดื่มชาเสร็จพวกเขาก็ออกไป ม่อเหยียนเป็นหลานศิษย์ย่อมต้องคิดต้อนรับอย่างดี แต่ลู่ยากลับไม่คิดอยู่ต่อ ดังนั้นม่อเหยียนจึงพาพวกเขาไปส่งยังทางเข้าสวรรค์ชั้นหกซิวหมี
ลู่ยาจับมือนางตลอดทาง จนกลับไปยังประตูสวรรค์แดนใต้ถึงคลายออก
การเดินทางครั้งนี้ถึงแม้หาฐานะที่แท้จริงของชายชุดเขียวไม่พบ แต่ได้รู้มาว่าเขากำลังหลอมวิญญาณมาร นี่ก็นับว่าเป็นเบาะแสใหญ่เช่นกัน แบบนี้สามารถยืนยันได้ว่าเขากำลังคิดก่อเรื่องใหญ่ ตอนนี้เพียงไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร
ลู่ยาตัดสินใจพักเรื่องตามหาจุ่นถีไปก่อน ในเมื่อหุนคุนบอกว่าชายชุดเขียวไม่ใช่เขา เช่นนั้นตนก็สามารถไปสืบหาที่มาของชายชุดเขียวได้ ส่วนจุ่นถีไปซ่อนอยู่ที่ไหน และทำไม่ถึงต้องแอบซ่อน รอจนเรื่องของมู่จิ่วจบก่อน เขาย่อมคิดหาทางตามหาอีกฝ่ายเจอจนได้
มู่จิ่วไม่คัดค้าน
นางคิดตกแล้วเหมือนกัน หลิวหยางเร้นกายไปต้องมีเหตุผลของเขา หากเขาไม่ต้องการพบคนอื่น ทำไมนางต้องไปบีบบังคับเขา?
ระหว่างวันลู่ยาครุ่นคิดเรื่องคดีต่อ มู่จิ่วก็ไปทำงานตามปกติ
หากตัดเรื่องความลึกลับของชายชุดเขียวที่คอยกระตุ้นประสาทอยู่เนืองๆ ออก วันคืนก็ผ่านไปอย่างสงบนัก
อาฝูกลับมาบ้านแล้ว และยังสามารถพูดได้ด้วย จึงคึกคักขึ้นมามาก ทั้งยังรับจื่อจิ้งที่ชอบสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีกคน ทั้งสามคนนี้อายุไม่ต่างกันมากนัก เพียงจื่อจิ้งแก่ประสบการณ์มากกว่าหน่อย แต่ก็ไม่มีใครมองเขาเป็นรุ่นพี่ ดังนั้นทั้งสามคนไม่เพียงวิ่งเล่นไล่กัน แต่ยังล้อมวงคุยโวโอ้อวด
แต่ช่วงนี้จื่อจิ้งเคร่งเครียดนัก เพราะลู่ยาจับเขาแผดเผาไว้ในเขตพลัง ยังไงก็ออกมาไม่ได้!
มู่จิ่วนั้นชอบความครึกครื้นนัก ตอนแรกเป็นตายอย่างไรก็ไม่อยากมาสวรรค์ ตอนนี้กลับหลงรักความอบอุ่นเช่นนี้แล้ว
ในหน่วยนับได้ว่าสงบมากที่สุดแล้ว ช่วงนี้คดีล้วนจัดการเรียบร้อย หลิวจวิ้นก็ชื่นชมนางไม่น้อยทีเดียว
แต่บางครั้งเขาก็ช่างนินทานัก เช่นตอนพักไม่มีคนนอก เขาก็มักอดไม่ได้ถามนางว่าเวลากินข้าวกับลู่ยาต้องคีบอาหารให้เขาก่อน ตนเองถึงค่อยกินได้หรือไม่ ทั้งยังถามว่าตัวป่วนเช่นนางโดนคุกเข่าทำโทษอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า?
มู่จิ่วไม่รู้แล้วว่าในหัวเขาคิดอะไรบ้าง
แต่เพราะถามเรื่องสัพเพเหระทั่วไป นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถามเท่าไหร่ตอบเท่านั้น แล้วนางก็ค่อยๆ พบว่าแท้จริงตัวเองก็ชื่นชอบแบ่งปันเรื่องราวความใกล้ชิดของตนกับลู่ยาแก่ผู้อื่น บางครั้งไม่ต้องให้หลิวจวิ้นถาม นางก็พูดออกมาเอง หลังจากเล่าจบ มุมปากของนางก็มักจะยกขึ้นอยู่นาน
หลิวจวิ้นก็เป็นผู้ฟังที่ดี เรื่องที่ไม่ควรถามเขาก็ไม่ถาม แต่มีเพียงสิ่งหนึ่ง ยามที่ฟังเรื่องราวกระทบอารมณ์ เขามักจะมีแววตาเศร้าสร้อย จากนั้นก็ถอนหายใจ
นี่ทำให้นางมู่จิ่วสงสัย “ใต้เท้าทะเลาะกับคนรักหรือเจ้าคะ?”
คำถามนี้นางถามมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งเขาจะเลี่ยงไม่ตอบ
แต่ครั้งนี้หลังจากเขาชะงักไป กลับกระแอมไอก่อนพูด “ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง หากเจ้าคิดถึงคนที่ไม่ชอบเจ้าอย่างไม่เลิกรา ใช่อาการป่วยชนิดหนึ่งหรือไม่?”
มู่จิ่วอ้าปากกว้าง สมองหยุดทำงานเล็กน้อย คิดถึงคนที่ไม่ชอบเจ้าอยู่เสมอ หมายความว่าเขามีคนที่ชมชอบอยู่แล้ว?
คนผู้นี้คือใคร?
ลั่วเสินฝูเฟย?
นางอยากจะซุบซิบขึ้นมาแล้ว
“ข้าหมายความว่า หากคนที่เจ้าชอบแต่งงานแล้ว เจ้าจะยังคงคิดถึงเขาหรือไม่?” หลิวจวิ้นหน้าแดงถึงหู แต่สีหน้ายังขึงขัง
คำถามนี้ออกจะยากนัก มู่จิ่วชอบลู่ยามาเพียงคนเดียว ไม่เคยมีเพื่อนชายมาก่อน เรื่องแบบนี้จึงไม่มีคำตอบ
“เจ้าจินตนาการหน่อย!” หลิวจวิ้นพูด “คิดว่าเจ้ามีคนในใจ เจ้ารักเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่อย่างไรเขาก็ไม่ชอบเจ้า จากนั้นเขาก็แต่งกับผู้อื่นไป เจ้าว่าเจ้ายังจะห่วงหาอาทรเขาหรือไม่?”
“คงไม่กระมัง?” มู่จิ่วส่ายหน้า “หากเขาไม่ชอบข้าจริง ข้าคิดถึงเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเขาแต่งงานแล้วด้วย หากข้าก่อเรื่องอะไรไปก็ไม่ดีกับเขามิใช่หรือ?”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น!” หลิวจวิ้นลูบหน้า ใบหน้าหงิกงอ “ข้ารู้ว่าข้าต้องป่วยแน่”
เขาพูดพลางยืนขึ้นมา เดินไปมาอยู่ในห้อง
มู่จิ่วรอจนเขาเดินได้มากกว่าสิบรอบ ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “หญิงในใจใต้เท้าผู้นี้ ใช่ลั่วเสินหรือไม่?”
หลิวจวิ้นชะงักไปราวกับโดนฟ้าผ่าเมื่อได้ยินชื่อนี้ จากนั้นหันมาพึมพำทันใด “เจ้ารู้ได้อย่างไร…”
หากนางดูไม่ออกก็แปลกแล้ว!
แต่ลั่วเสินเป็นบุตรสาวของฝูซี หลานสาวของหนี่ว์วา แต่งงานไปกับโฮ่วอี้นานแล้ว นี่เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน หลิวจวิ้นกลับบอกว่าเขาชอบลั่วเสินมาก่อนนางจะแต่งงาน เช่นนั้นหลิวจวิ้นอายุเท่าไหร่กัน?
มู่จิ่วพลันรู้สึกว่านางไม่ได้รู้จักหัวหน้าเท่าไหร่นัก
“ใต้เท้าให้ข้าไปจุดธูปที่ศาลเจ้าลั่วเสินในครั้งแรก ข้าก็เดาได้แล้วเจ้าค่ะ” นางพูด “นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ท่านชอบนางก่อนนางจะแต่งให้คนอื่นไป ไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมก่อนแต่ง มีอะไรน่าปิดบังกัน? ถึงแม้ตอนนี้ยังคิดถึงอยู่ แต่พวกท่านไม่ได้พบหน้ากัน และท่านก็ไม่ได้ไปยุ่งกับชีวิตนาง เช่นนี้ไม่มีอะไรไม่ดี”
ปกติหลิวจวิ้นดีต่อนางยิ่งนัก ตอนนี้นางต้องช่วยปลอบใจเขาดีๆ
…………………………………