นางก้มลงเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นลงจากต้น และเด็ดดอกไม้สดจากพุ่มหญ้า
ท้ายสุดนางก็พบเขาที่นอนอยู่บนพื้น ดวงตาพลันสว่างไสว กระตือรือร้นขึ้นมา พลังวิญญาณรอบร่างยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น นางร้องเรียกพลางโผเข้าไปหา “อาลู่!” เสียงนั้นใสเสียจนรู้สึกเปี่ยมสุขหวานล้ำ หญิงที่มีพลังวิญญญาณยิ่งใหญ่ขนาดนี้คงจะสูงส่งเกินเอื้อมอย่างมาก แต่นางกลับตื่นเต้นเพราะคนอีกคน…
“มู่…มู่จิ่ว!”
หลินเจี้ยนหรูตกตะลึง!
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหญิงที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ไร้คาวโลกีย์ผู้นั้น จะมีใบหน้าเหมือนมู่จิ่วทุกประการ!
เสียงของนางกระจ่างเสนาะหู เหมือนกับเสียงของมู่จิ่วในตอนนี้ เครื่องหน้าของนางงดงาม พิมพ์เดียวกับนางที่เขาเพิ่งแยกจากมาเมื่อสักครู่ แต่มู่จิ่วในภาพกับในความเป็นจริงกลับมีบุคลิคต่างกันโดยสิ้นเชิง! นาง ณ ตรงนี้เหมือนหญิงอ่อนโยนอ่อนหวานที่มีกิริยางดงาม แต่ในความเป็นจริงนางกลับเจ้าอารมณ์นัก…
เขาลุกขึ้นเดินเข้าไป แต่ม่านแสงพลันหายวับ!
ด้านหน้าเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
เขาหันกลับไปมองชายชุดเขียว ฝ่ายนั้นยังคงมองไปข้างหน้าราวกับเหม่อลอย ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“นั่นคือมู่จิ่วหรือ?!” เขากลืนน้ำลาย
ชายชุดเขียวละสายตามา ความอ่อนโยนที่เหลือหายไปจากดวงตาเขา เขาไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าใช่หรือไม่ บางทีอาจรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่เกินความจำเป็น หรือบางทีอาจไม่อยากให้หลินเจี้ยนหรูรู้มากไป
“ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บหนัก และนางเพิ่งออกจากบ้านครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์ที่โลกภายนอกเลยสักนิด โง่งมจนไม่รู้จักเก็บพลังไป หากตอนนั้นเจ้าดูดรับพลังนาง ไม่เพียงบาดแผลจะหายดีทันที อาคมก็จะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่เจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น ชัดเจนว่าเจ้ายังมีหนทางเยียวยา”
“ดังนั้นข้าจึงมาให้โอกาสเจ้า เปลี่ยนชะตาชีวิตเจ้า”
ใบหน้าหลินเจี้ยนหรูสั่นไหว “เจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นไรกันแน่?”
ฟังจากน้ำเสียงเขาไม่เหมือนว่าต้องการทำร้ายนาง หากไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น เขาจะลงทุนลงแรงเช่นนี้เพื่ออะไร?
ชายชุดเขียวนิ่งงัน เดินไปหลายก้าว ว่างเว้นไปชั่วครู่หนึ่งจึงหันกลับมา มองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าอยากให้เจ้ากลายเป็นมารก่อนกำหนดเวลา”
หลินเจี้ยนหรูตกตะลึง มือทั้งสองกำหมัด “เจ้าบอกว่าจะเปลี่ยนชะตาชีวิตข้ามิใช่หรือ?!”
“ข้าไม่เคยเปลี่ยนทางเลือกของผู้อื่น แต่บทสรุปสามารถตกลงกันได้ ทางที่เจ้าควรเดินก็ต้องเดิน เพียงแต่ข้าจะทำให้มันเกิดเร็วขึ้นหน่อยเท่านั้น”
หลินเจี้ยนหรูโงนเงน ในอกเต็มไปด้วยความขมขื่น
เขาเงยหน้ามองชายชุดเขียว หมดหวังเหมือนทหารพ่ายสงครามเดินไปสู่ทางตัน
“นี่เจ้ากำลังบีบบังคับให้ข้าตัดขาดกับนาง” เขาพึมพำ
“ช้าเร็วก็ต้องเป็นเช่นนี้” น้ำเสียงชายชุดเขียวยังสงบ “เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าต้องตายด้วยน้ำมือนาง” พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้ม “อย่าคิดไปว่านางฆ่าคนไม่เป็น ตอนนางโกรธก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
หลินเจี้ยนหรูรู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนความหนาวเย็นที่มาจากแกนโลก พุ่งจากใต้เท้าตรงเข้าสู่หัวใจเขา
มู่จิ่วฆ่าเขา…
นางเป็นคนใจอ่อนเช่นนั้น มีเมตตาเพียงนั้น สุดท้ายกลับยังฆ่าเขา…
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดเจ้าเป็นจริงหรือไม่?!” เขาพลันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสาดประกายแสงไปยังชายชุดเขียว
ชายชุดเขียววางฝ่ามือบนกระหม่อมของเขา “รอข้ายอมให้เจ้าเข้าถึงข้าก่อน เจ้าก็จะเชื่อเอง”
หลินเจี้ยนหรูไม่ทันต้านทาน…ในความเป็นจริงเขาก็ไม่มีปัญญาต่อต้าน รู้สึกว่ามีกระแสพลังขุมหนึ่งไหลเข้ามาในร่างเขาช้าๆ ผ่านชีพจร กระแทกจนแขนขาของเขาเหน็บชาอ่อนแรงไปหมด และไม่อาจใช้เรี่ยวแรงได้! เขาค่อยๆ รู้สึกว่ากระแสพลังนี้เหมือนน้ำท่วม เคลื่อนไหวไปทั่วร่างเขาไม่หยุด บ้าคลั่งอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเขารับไม่ไหว ร้องตะโกนแล้วทรุดลงไป!
รอบด้านค่อยๆ เงียบสงบลง กระแสพลังภายในร่างก็ค่อยๆ ไร้การต่อต้าน เขาเงยหน้าขึ้น ชายชุดเขียวยังคงอยู่เบื้องหน้าเขา ไพล่มือมองเขา
หลินเจี้ยนหรูลุกขึ้นมา พลันรู้สึกว่าจุดตันเถียนอบอุ่นขึ้นและขยับเบาๆ พลังวิญญาณยืดยาวต่อเนื่องเหมือนกับลำน้ำ
“ตอนนี้ขั้นเซียนของเจ้าถึงขั้นหัวเสินแล้ว แต่อาคมกลับแข็งแกร่งกว่า หากพินิจกันจริงจัง เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับซ่านเซียนผู้หนึ่ง แต่เจ้าไม่อาจสำเร็จเป็นเซียนได้ เพราะข้าไม่ได้ถอนรากฐานมารเจ้าออกมา และรากฐานมารของเจ้าไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
หลินเจี้ยนหรูมองเขา ไม่ได้พูดอะไร
ในเมื่อรู้แล้วว่าเป้าหมายของชายชุดเขียวคือให้เขากลายเป็นมารล่วงหน้า เรื่องที่สำเร็จเป็นเซียนไม่ได้ก็ไม่ทำให้เขาตื่นตกใจแล้ว
เขาเชื่อในความสามรถของชายชุดเขียวโดยสมบูรณ์ พลังวิญญาณที่ส่งมาให้เมื่อครู่ เขาไม่เคยพบมาก่อนทั้งจากหัวชิงและเหล่าเซียนบนสวรรค์ พลังวิญญาณของเขามากมายราวกับจะใช้ไม่หมด มอบมันให้กับร่างคนต่ำต้อยตามแต่ใจ แต่เขาตรงหน้าก็ดูไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับการสูญเสียพลังวิญญาณไปเลย
เขาเรียกสติกลับมา ก่อนพูด “ต่อไปข้าจะเป็นอย่างไร?”
“เจ้าจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับเจ้า ไม่ใช่ข้าเป็นผู้กำหนด” ชายชุดเขียวกล่าว “ถึงแม้ข้าทำให้เจ้าได้พลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ก่อนหน้า แต่ก็ไม่มีอะไรต้องการให้เจ้าทำเป็นพิเศษ เจ้าสามารถทำตามใจปราถนาได้”
หลินเจี้ยนหรูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “หากข้ายืนกรานไม่เดินสู่ทางสายมารเล่า?”
“ก็แล้วแต่เจ้า” เขาไม่สนใจอันใด “เพียงเจ้าควบคุมความปรารถนาของเจ้าได้ ข้าก็ยินดีจะเห็นเจ้าเดินทางสายธรรม”
หลินเจี้ยนหรูกัดฟันยืนขึ้นมา “ข้าทำสำเร็จแน่!”
ชายชุดเขียวยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า ในรอยยิ้มปราศจากความดูแคลนและเย้ยหยัน เป็นการตอบรับแบบปกติยิ่ง
หลินเจี้ยนหรูพูดอีก “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้นกับมู่จิ่ว? นางในอีกหมื่นปีข้างหน้าทำไมถึงกลายเป็นเช่นนั้น? ทำไมเจ้าบอกว่านางออกจากบ้านครั้งแรก? ยังมีอีก ทำไม่นางเรียกข้าด้วยชื่อประหลาดแบบนั้น? หรือ… หรือว่านั่นเป็นชาติหน้าของนาง?”
นางในภาพนั้นต่างกับนางในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน หากนางไม่ได้กลับชาติมาเกิด ทำไมนางถึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้น?
นางที่ตื่นเต้นยามเจอเขานอนอยู่บนพื้น ขนาดเขาเห็นแล้วยังใจเต้น…
ชายชุดเขียวนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งเงียบพอแล้วจึงค่อยตอบประโยคหนึ่ง “อย่าคิดมาก นางเพียงคิดว่าเจ้าเป็นข้าเท่านั้น”
เรื่องที่เหลือเขาไม่ได้ตอบอะไร ทำไมนางออกมาครั้งแรก ทำไมนางมีพลังวิญญาณมากมายเพียงนั้น ใช่ชาติหน้าหรือไม่ ทำไมบุคลิกเปลี่ยนไป เขาไม่ตอบอะไรเลย
หลินเจี้ยนหรูอับจนคำพูด
“เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”
ขณะกำลังสับสน ชายชุดเขียวพลันยื่นมือออกมา ส่งจิตต้นกำเนิดที่แตกสลายและกุญแจจันทราให้เขาช้าๆ
เขารีบรับมาก่อนเงยหน้าขึ้นอีก แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของชายชุดเขียวแล้ว
มู่จิ่วนั่งอยู่ใต้ต้นดอกท้อ ชมดอกไม้ และก็คอยดูอู่หลานเอ๋อร์ไปด้วย
ตอนนี้อู่หลานเอ๋อร์สงบยิ่งนัก นางที่สงบนิ่งดูไปแล้วก็มีความงามพิเศษเฉพาะอีกแบบหนึ่ง ดวงตาของนางทั้งโตและกระจ่างใส จนทำให้มู่จิ่วรู้สึกว่านางมองเห็นบางเรื่องที่คนอื่นมองไม่เห็น
มู่จิ่วชอบมองคนงาม ไม่ว่าชายหรือหญิง แน่นอนว่านางไม่ใช่คนบ้าตัณหา เพียงดื่มด่ำความงามเท่านั้น
……………………………………….