เขาพลันมองไปยังหลีหัง “ระหว่างทางเจ้าพบเจออะไรประหลาดหรือไม่? อะไรที่เกี่ยวกับเฟยอี”
หลีหังกำลังจะบอกลาเขาเพื่อเดินทางไปถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เห็นสีหน้าเขาประหลาดนักจึงไม่ได้เอ่ย เมื่อฟังเขาถามเช่นนี้แล้วก็ขมวดคิ้วพึมพำขึ้นมา “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ร่องรอยระหว่างทางล้วนเกิดขึ้นราวๆ ห้าพันปีก่อน หรือก็หมายความว่าเรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่นางจบชีวิตลงที่โลกมนุษย์ไม่นาน และก็เป็นช่วงตอนที่ข้ากับอู่เต๋อกลับไปยังสวรรค์”
ห้าพันปีก่อน จากปรโลกมุ่งไปยังทางเหนือ?
นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว
ลู่ยาชะงักเล็กน้อย ก่อนลงมาจากหิน “ข้าจะไปถิ่นทุรกันดารทางเหนือกับเจ้า”
ต่อให้หลีหังเป็นคนหนักแน่นอย่างไร แต่เดินทางมานานเช่นนี้ก็อดดีใจไม่ได้ “ดียิ่งนัก! เชิญอาจารย์อาใหญ่!”
มีลู่ยานำทาง ดีกว่าตอนที่เขาเดินคลำทางไปเองทีละก้าวกว่าตั้งเท่าไหร่?
ทั้งสองขึ้นเมฆไป ตามกลิ่นอายของเส้นผมที่ปรากฏออกมา มุ่งไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
อันที่จริงพวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่กลิ่นอายของเส้นผมเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้านัก ก่อนถึงถิ่นทุรกันดารทางเหนือยังคงสภาพดีอยู่ แต่เมื่อเข้าเขตแดนไปแล้ว กลิ่นอายนั้นกลับแตกกระจาย ลู่ยาใช้อาคมปกป้องมันไว้ กลิ่นอายจึงมุ่งตรงไปอีกครั้ง
“ยังคงมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” หลีหังพูด “แต่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็คือที่ที่กันดารที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าไม่งอกงาม ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด”
เขารับราชการทหารอยู่นานขนาดนั้น ทั้งยังฝึกฝนมาไม่น้อยยามรับหน้าที่อยู่ที่วังโตวลวี่ แผ่นดินเช่นนี้มีลักษณะอย่างไรเขาย่อมรู้
ลู่ยาหรี่ตามองตรงไปข้างหน้า ก่อนเอ่ย “หากข้าจำไม่ผิด ห่างออกไปไม่ไกลน่าจะเป็นคลื่นจิตพสุธา”
“คลื่นจิตพสุธา?” หลีหังตื่นตกใจเล็กน้อย
คลื่นจิตพสุธาไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ที่นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นทางเข้าออกที่ปฐมวิญญาณผนึกลมปราณชั่วร้ายในฟ้าดินไว้ อีกทั้งเป็นสถานที่ต้องห้าม แม้สถานที่นี้จะสำคัญมาก แต่เพราะในหกภพนี้มีคนจำนวนน้อยมากที่จะสามารถไปที่นั่นได้ มันจึงเปรียบเหมือนสวรรค์เหนือสวรรค์ ถึงแม้จะคุ้นหูแต่กลับห่างไกล ตอนนี้พวกเขาไล่ตามวิญญาณของเฟยอีจนมาถึงคลื่นจิตพสุธานี่ได้ นี่มิชวนให้ประหลาดใจหรือ?
“ความหมายของท่านคือเฟยอีเข้าไปที่คลื่นจิตพสุธา?”
เขาไม่กล้าเชื่อเรื่องนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าด้านในคลื่นจิตพสุธามีอาคมของปฐมวิญญาณคุ้มครองอยู่ เพียงแค่หกวิญญาณที่เฝ้าอยู่ที่นั่น แรงกดดันก็มากพออยู่แล้ว แม้แต่ไท่ซ่างเหล่าจวินอาจารย์ของเขาจะเข้าไปได้หรือไม่เขายังไม่กล้าคาดเดา พลังบำเพ็ญเพียงหลักหลายหมื่นปีของเฟยอี เกรงว่ายังไม่ทันเหยียบย่างเข้าไปยังเขตแดนของที่นั่น วิญญาณก็คงสลายไปแล้ว เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
แต่ลู่ยากลับไม่คิดเช่นนั้น
ชายชุดเขียวยอมรับกับมู่จิ่วแล้วว่าเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และตอนนี้กลิ่นอายของเฟยอีมุ่งตรงมายังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ หกวิญญาณที่ชายชุดเขียวหลอมขึ้นก็เป็นหกวิญญาณที่ตอนนั้นปฐมวิญญาณหลอมขึ้นมาเช่นเดียวกัน เรื่องเหล่านี้หากมองแยกจากกันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หากคิดเชื่อมโยงกันก็ไม่ธรรมดาแล้ว…
วิญญาณของเฟยอีย่อมต้องไม่ออกมาจากปรโลกเก้าแดนเองแน่ ในเมื่อหายตัวไป นั่นเป็นไปได้มากว่าชายชุดเขียวจะเป็นคนลงมือ
ชายชุดเขียวปล่อยนางออกมา ย่อมไม่ปล่อยออกมาอย่างไร้จุดประสงค์แน่ และทิศทางที่นางมุ่งตรงมาในตอนนี้ก็ยืนยันได้ว่าชายชุดเขียวเป็นคนพานางมา ซ้ำยังเป็นไปได้ว่าเขาจะชักนำนางไปยังคลื่นจิตพสุธา…แน่นอน เขาไม่รู้ว่าชายชุดเขียวมีจุดประสงค์อะไร แต่ตอนนี้กลับไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้
“พวกเราเข้าไปยังคลื่นจิตพสุธากัน”
เขาพูด จากนั้นจึงปรับความเร็วของกลิ่นอายเส้นผม เปลี่ยนให้มุ่งตรงไปยังถิ่นทุรกันดารทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทันที
ถึงแม้หลีหังไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเฟยอีที่คลื่นจิตพสุธา แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ดังนั้นจึงรีบเดินตามไป
ไม่นาน ทิวทัศน์ทั้งสองข้างก็เคลื่อนผ่านช้าลง ทิวเขาค่อยๆ ห่างไกล พื้นราบเรียบเข้ามาในครรลองสายตา พื้นที่ราบนี้กว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่หลีหังเคยเห็นมา เนินเขาต้นไม้ใบหญ้าหายไปจากสายตา รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเมฆบนฟ้ากับดินบนพื้นเท่านั้น
พวกเขายืนอยู่ริมพื้นราบนี้ แม้จะห่างจากใจกลางมากนัก แต่กลับรู้สึกเลือดลมเดือดพล่าน ต้องใช้จิตต้นกำเนิดต้านทานไว้
“ที่นี่คงเป็นคลื่นจิตพสุธา” เขาพูด “เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ไหน?”
ลู่ยาไม่ได้ตอบทันที แต่เดินไปข้างหน้าหลายก้าว ขับเคลื่อนพลังบนมือ แล้วลอยขึ้นไปกลางอากาศ ซัดพลังไปยังทิศทั้งสี่หลายครั้งก่อนลอยกลับลงมา
พริบตาเดียว พื้นที่ราบเรียบเหมือนกระจกพลันเกิดคลื่นพลังวิญญาณยักษ์กระเพื่อมขึ้น แต่ละคลื่นๆ เหมือนกับคลื่นน้ำ หลีหังต้านทานคลื่นพลังนี้ไม่ได้ จึงกระอักเลือดออกมา ร่างก็ถูกดูดเข้าไปในคลื่นโดยไม่ทันตั้งตัว ลู่ยารีบส่งม่านเซียนไปครอบกายเขาไว้ ก่อนเอ่ย “เห็นเจ้ากับอู่เต๋อก่อเรื่องวุ่นวายกันเช่นนั้น ก็เข้าใจไปว่าฝีมือไม่เบา ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันได้เข้าไปก็ต้านทานไม่อยู่เสียแล้ว”
ใบหน้าหลีหังแดงเถือก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมื่อมองใจกลางของคลื่นพสุธานี้ ตอนนี้พลันมีแสงสว่างสาดส่องไปทั่ว ประตูหยกขนาดใหญ่ผุดขึ้นมา
ประตูกว้างราวร้อยจั้ง สูงราวสิบจั้ง แยกเป็นประตูหลักกับประตูรองซ้ายขวา ชัดเจนว่ามีเพียงประตูเท่านั้น ด้านหลังไม่มีสิ่งใด แต่เมื่อมองตรงไป ด้านในประตูกลับมืดมิดไม่รู้ความลึก ส่วนประตูรองด้านข้าง ด้านในประตูซ้ายกลับเต็มไปด้วยหมอก มีแสงสว่างจ้า ในขณะที่ประตูขวามีลมฤดูใบไม้ร่วงพัดหวีดหวิว ต้นไม้ล้มตาย ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต
“ด้านซ้ายคือประตูปราณบริสุทธิ์ ด้านขวาคือประตูปราณชั่วร้าย หกวิญญาณไม่เพียงมีหน้าที่คุ้มครองคลื่นพสุธา แต่ยังสามารถเปลี่ยนปราณชั่วร้ายเป็นปราณบริสุทธิ์ได้ด้วย” ลู่ยาอธิบาย จากนั้นมองอักษรโบราณบิดเบี้ยวสามตัวตรงประตูหลัก เขาลอยขึ้นไปใช้วิชาคลายผนึก จากนั้นจึงลงมาพูด “เดินเข้าไปยังประตูหลัก”
หลีหังพยักหน้า ถอยไปครึ่งก้าว ให้เขานำไปก่อน
เมฆหมอกในประตูหลักลอยเข้ามาปะทะหน้า แต่เมื่อลู่ยาจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน ร่างกายกลับถูกพลังขุมหนึ่งผลักให้ถออยกลับมา…ถึงแม้จะปะทะเข้ามาเบาๆ แต่กลับทำให้พวกเขาทั้งสองตระหนกจนหน้าถอดสี!
ปฐมวิญญาณผนึกคลื่นจิตพสุธาไว้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปราณชั่วร้ายเล็ดลอดออกมาหลังจากที่เขารวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ศิษย์ทั้งสี่ของเขาถูกกำหนดให้เป็นเทพปกป้องวิถีฟ้าและรักษาสมดุลของหกภพ แน่นอนว่าย่อมต้องมีสิทธิขาดในการเข้าออกและปกป้องคลื่นพสุธา ในหลายสิบหมื่นปีนี้ลู่ยาเข้าออกที่นี่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ทำไมถึงถูกผลักออกมาได้?
ไม่เพียงหลีหังยากจะเชื่อ ลู่ยาก็ไร้คำอธิบาย!
เขาลองก้าวเข้าไปอีกครั้ง เท้าที่ยกออกไปราวกับเตะลูกหนังขนาดใหญ่ พริบตาเดียวก็มีพลังผลักเขาออกมา
“นี่คือเรืองอันใด?” หลีหังถาม
ลู่ยาขมวดคิ้วก่อนตอบ “มีคนสร้างเขตพลังที่นี่”
“เขตพลัง?” หลีหังชะงักไปนิด “หรือจะเป็นอาจารย์อาใหญ่อีกสองคน?”
“ไม่ใช่” ลู่ยาจับจ้องเข้าไปด้านใน ก่อนจะยื่นมือเข้าไป พริบตาเดียวสีหน้าพลันเปลี่ยน “คนที่สร้างเขตพลังนี้ใช้พลังสายเสวียนหมิง!”
……………………………