หลิวจวิ้นเหลือบมองนางอยู่นาน ก่อนจะเช็ดมือพลางเอ่ย “เห็นเจ้าว่างจนเป็นเช่นนี้ ไว้ข้าหาอะไรให้เจ้าทำดีหรือไม่?”
“เรื่องอะไรเจ้าคะ?” มู่จิ่วนั่งหลังตรงอย่างรวดเร็ว
หลิวจวิ้นกระแอมเล็กน้อย “มิใช่ว่าหลีหังมาเล่าเรื่องคลื่นจิตพสุธาหรือ ถึงแม้บอกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับพวกเรา แต่เพราะช่วงนี้หน่วยว่างงานนัก เหล่าพี่น้องว่างจนจะจับมดอยู่แล้ว เมื่อวานข้าจับพวกที่แอบดอดไปเล่นพนันที่โลกมนุษย์ได้ ก็ถูกหลีหังพบเข้าพอดี”
“ดังนั้นพวกเราจึงควรแสดงความพยายามบ้าง มิฉะนั้นแล้วหากไท่ซ่างเหล่าจวินเอาไปรายงานกับฝ่าบาท พวกเราจะรับไม่ไหวเอา พรุ่งนี้เจ้าพาเฉินอิงและหูเหยียนนำคนไปจำนวนหนึ่ง ลาดตระเวนบริเวณประตูสวรรค์แดนใต้ในระยะห้าร้อยลี้ แบ่งเป็นสามกะ จะแบ่งอย่างไรพวกเจ้าจัดการกันเอง มีอะไรผิดปกติก็อย่าปล่อยไว้”
มู่จิ่วได้รับคำสั่งก็ตื่นตัวขึ้น “ใต้เท้าวางใจได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปกับนายทหารเฉินอิงและหูเหยียนเจ้าค่ะ!”
หลิวจวิ้นโบกมือ
มู่จิ่วจึงพาอาฝูและรุ่ยเจี๋ยที่กำลังเล่นหนังยางกันอยู่กับเหล่าเซียนน้อยกลับบ้านอย่างดีอกดีใจ
ถึงแม้จะแค่ไปลาดตระเวนเท่านั้น ก็ยังดีกว่าจัดการเรื่องจุกจิกในหน่วยงานทุกวันมากนัก!
อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาได้บ้าง
มู่จิ่วได้รับงานใหม่ วันถัดมาพาเฉินอิงกับหูเหยียนไปทำงานไม่ขอเอ่ยถึง
ตอนเที่ยงนางไม่กลับไปกินข้าว หลายวันนี้ลู่ยาก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ดังนั้นนางจึงอยู่กับซ่างกวนสุ่นและพวกเด็กๆ
ทั้งสามคนมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว คนหนึ่งฉลาดหลักแหลม คนหนึ่งน่ารักยิ่ง อีกคนหนึ่งมักจะมองเฉยๆ มากกว่าพูด นิสัยต่างกันนัก แต่กลับไม่ห่างเหินและสนิทสนมกันยิ่งนัก จื่อจิ้งขี้โม้โอ้อวดจนหลังคาจะพัง กระทั่งเสี่ยวซิงและซ่างกวนสุ่นฟังยังมองค้อนเขา แต่อีกสองตัวน้อยนั้นกลับฟังกันตาไม่กะพริบ
เสี่ยวซิงพูดไม่ออกจริงๆ
แต่อย่างนี้ก็ดีแล้ว แต่เดิมนางยังกังวลว่าจื่อจิ้งจะเข้ากับพวกเขาไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาเข้ากันได้ก็นับเป็นเรื่องดี
อีกทั้งยามที่ลู่ยาไม่อยู่ จื่อจิ้งยังช่วยเตือนทั้งสองให้ฝึกฝนพลังด้วย ทำให้เสี่ยวซิงพอใจเขามากขึ้นหน่อย
ส่วนตัวเสี่ยวซิงเองก็ก้าวหน้าขึ้น นอกจากการชี้แนะของลู่ยา กลิ่นอายเซียนในสวรรค์ก็เข้มข้นนัก และยังสามารถซื้อผลไม้เซียนได้ตลอดเวลา มู่จิ่วยังนำยาเซียนมาให้เสริมกำลังอีก ความก้าวหน้าในสองปีนี้ของนาง ที่จริงมากกว่าห้าร้อยปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ยังไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แต่เดิมพวกปีศาจบำเพ็ญตนก็ไม่อาจเทียบได้กับมนุษย์อยู่แล้ว นางยังไม่อาจสู้กับพวกมนุษย์ได้
แต่ยังดีที่นางไม่ได้บำเพ็ญเพื่อไปต่อสู้ นางเป็นเพียงกระต่ายตัวหนึ่ง จะเก่งได้ขนาดไหนกันเชียว? ดังนั้นนางจึงบำเพ็ญเป็นเซียนกระต่ายอย่างสงบ อยู่เคียงข้างมู่จิ่วไปชั่วชีวิตก็พอ
แต่หากเจอคนมารังแก นางจะทำอย่างไร? จื่อจิ้งถาม
“รังแก? เห็นองค์ชายเจ็ดแห่งเขาเนินอารามอย่างข้าเป็นอะไร!”
ซ่างกวนสุ่นที่ผ่านทางมาไม่สบอารมณ์ โยนไชเท้าหัวใหญ่ที่อยู่ในตะกร้าใส่เขา
จื่อจิ้งรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความรักบางอย่างจึงรีบหนีไป
ในบ้านสกุลกัวทางนี้ต่างคนต่างยุ่ง ส่วนความกดดันทางด้านลานสนเขียวก็ลดลงไม่น้อย
นอกจากเวลาพักผ่อนแล้ว ช่วงนี้กลับไม่เห็นเงาของหลินเจี้ยนหรู หัวชิงส่งคนมาจับตาดูเขามิใช่หรือ? เช่นนั้นก็มาเลย! ดูสิว่าจะจับตาดูไปได้ขนาดไหน ใช่ว่าหัวชิงจะจับร่องรอยที่เขาเดินทางไปทั่วได้ทั้งหมด!
เมื่อวานเขาเพิ่งกลับมาตอนเที่ยงคืน ตอนเช้าเขาก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัวจนเสร็จทั้งที่ยังห่างจากเวลาเข้ากะถึงครึ่งชั่วยาม
ทางนี้เพิ่งเปิดประตู หูเจียงเต๋อก็ยกอาหารเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หลิน กินอาหารเช้าเถิด”
เขาพูดพลางวางปิ่นโตไว้บนโต๊ะ หยิบโจ๊กร้อนควันกรุ่นออกมา
หลินเจี้ยนหรูหันหน้ามองเขา เห็นเพียงใบหน้าที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยความดูแคลนและรังเกียจกลับกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส จมูกที่เขาเอาเท้าเหยียบในวันนั้น ตอนนี้งองุ้มลงอย่างชัดเจน
หลินเจี้ยนหรูมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นซาลาเปาบนโต๊ะ จงหยิบขึ้นมาลูกหนึ่งก่อนถาม “ให้ข้าหรือ?”
“ใช่แล้ว” หูเจียงเต๋อยิ้มสู้เสือ
“ไม่มีพิษ?” หลินเจี้ยนหรูหรี่ตาลง
“ไม่มีแน่นอน!” หูเจียงเต๋อชูมือขึ้นสาบาน
“ข้าไม่เชื่อ” หลินเจี้ยนหรูโยนซาลาเปาลงพื้น รินชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “นอกจากเจ้าจะเก็บมันขึ้นมากิน”
หูเจียงเต๋อรู้สึกลำบากใจ แต่คิดๆ ดูแล้วตนเองยังเจ็บคอและจมูกอยู่ จึงกัดฟันก้มตัวลงไป
แต่ซาลาเปาลูกนั้นกลับกลิ้งไปถึงเท้าหลินเจี้ยนหรู เขาเหยียบมัน ดื่มชาไปพลาง เหยียบมันไปพลาง ก่อนเตะไปตรงหน้าหูเจียงเต๋อ “กินสิ”
หูเจียงเต๋อหน้าสั่น มองหลินเจี้ยนหรูอย่างไม่เชื่อสายตา
หลินเจี้ยนหรูเหลือบมองเขา ใบหน้าเผยความเย็นชาที่แสดงออกว่าไม่ให้เขาปฏิเสธ
“ศิษย์พี่หลิน…”
มุมปากหลินเจี้ยนหรูขยับน้อยๆ ยกชาขึ้นเอ่ย “ไม่อยากกินหรือ?”
“ไม่ๆ! ข้าจะกิน ข้าจะกิน” หูเจียงเต๋อรีบโน้มตัวลง หยิบซาลาเปาที่ไม่เหลือรูปเดิมขึ้นมา ยัด ‘ซาลาเปา’ ที่ไส้ข้างในทะลักออกมาหมดเข้าไปในปาก
หลินเจี้ยนหรูมองเขา หมุนแก้วในมือเบาๆ ใจกลับไม่ได้รู้สึกยินดีนัก
หากวันนั้นเหลียงชิวฉานช้าไปกว่านั้นก้าวนึง แม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าผลลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
หากหลินเจี้ยนหรูต้องการฆ่าหูเจียงเต๋อก็เป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่เขาไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้จะมีความหมายอะไร
หากฆ่าคนเพื่อล้างแค้น เช่นนั้นเขาก็เพียงไปฆ่าจีหมิ่นจวินที่สำนักแรกพยับเสียเลย…ไม่สิ ถ้าฆ่านางเขาอาจยังรู้สึกสาแก่ใจ อย่างไรนางก็อยู่คนละระดับกับหูเจียงเต๋อ แต่ก่อนอื่นเขาควรทำให้นางรู้สึกอยู่มิสู้ตายก่อน จากนั้นค่อยให้นางตายไม่ใช่หรือ?
ตอนนั้นหลินเจี้ยนหรูจึงยอมปล่อยให้หูเจียงเต๋อมีโอกาสรอใครผ่านมา ที่เขายอมปล่อยมิใช่เพราะเหลียงชิวฉาน และยิ่งมิใช่เพราะว่ากลัวสำนักแรกพยับ
หากบอกว่าแต่ก่อนเขายังสะกดตนเองไว้ ตอนนี้ก็นับว่าไม่มีแล้ว
ไม่ว่าใครมายั่วยุเขา เขาสามารถทำแบบเดียวกับที่ทำกับหูเจียงเต๋อได้ หากควบคุมไม่ได้ก็ฆ่าเสียก่อน หากคุมได้ก็เก็บไว้ทรมาน
ตอนนี้เขาเพียงรอดูว่าใครจะทนไม่ได้ก่อน
หลินเจี้ยนหรูดื่มชาไปครึ่งแก้ว หูเจียงเต๋อก็กินซาลาเปาจนหมด เขายืดคอกลืนคำสุดท้ายลงไป ก่อนเอ่ย “ศิษย์พี่หลินโปรดดู มันไม่มีพิษ! ข้าไม่กล้าวางพิษในอาหารของศิษย์พี่หรอก!”
เหลียงชิวฉานเตือนเขาว่า ‘จงอยู่ให้เป็น’ ตอนแรกเขายังกลัว แต่ตอนหลังพบว่าหลินเจี้ยนหรูจะกลับมาหรือไม่ กลับมาตอนไหน เขาก็ไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจับตาหรือไม่จับตามองเลย เขากลัวว่าจะไม่มีเรื่องอะไรไปรายงานหัวชิง แต่ก็ไม่กล้ากลับไปฟ้องเหมือนกัน คิดไปคิดมาเลยทำได้เพียงทำใจกล้าเข้าใกล้หลินเจี้ยนหรู รักษาความสัมพันธ์ไว้ก่อนค่อยว่ากัน
“ไม่มีพิษ? เป็นไปไม่ได้กระมัง” หลินเจี้ยนหรูมองโจ๊กที่เหลืออยู่ จากนั้นเรียกนกกระเต็นเข้ามา มือหนึ่งคว้าคอไว้ มือหนึ่งป้อนขนมเข้าไปในปากมัน จากนั้นส่งพลังเข้าท้องมันสักหน่อย นกตัวนั้นก็ตายในมือเขาทันที เขาแบมือพูด “ตายแล้วนี่ไง หากไม่มีพิษ มันจะตายได้อย่างไร?”
………………………………………………