“ใต้เท้ากัวมาตามหาคนหรือ?”
เซียนหญิงทางห้องตะวันตกเดินออกมาถาม
มู่จิ่วพยักหน้าตอบรับนาง ก่อนถามกลับ “แม่นางเหลียงล่ะ?”
“นางกลับสำนักแรกพยับไปแล้วเจ้าค่ะ ช่วงนี้นางไม่ต้องเข้าเวรพอดี กลับไปได้สองวันแล้ว”
ไม่ผิดคาด!
หลินเจี้ยนหรูกลับสำนักแรกพยับไปอย่างสง่าผ่าเผย เหลียงชิวฉานก็ตามเขากลับไป ไม่แน่ว่านางอาจจะกำลังก่อเรื่องอะไรอยู่! อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าระหว่างนางกับหลินเจี้ยนหรูไม่ได้มีความแค้นไม่เผาผีกัน!
หรือเหลียงชิวฉานเป่าหูหัวชิง?
แต่ฐานะของหลินเจี้ยนหรู ถึงแม้เหลียงชิวฉานจะทุ่มแรงเล่นใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมขนาดนั้น?
นางครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง พยักหน้าลาแม่นางคนนั้น ก่อนเดินออกจากประตูไป
ครั้นกลับถึงบ้าน เสี่ยวซิงกลับมาจากการจ่ายตลาดแล้ว มู่จิ่วหยิบรากบัวจากตะกร้าเดินเข้าห้องไป
ลู่ยาไม่อยู่บ้าน ทำได้เพียงพึ่งพาตนเองแล้ว
หัวชิงไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่อาจถูกหลินเจี้ยนหรูกับเหลียงชิวฉานชักจูงได้ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร?
นางสลัดเรื่องนี้ทิ้งไปไม่ได้แล้ว คงต้องไปสำนักแรกพยับถึงจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างได้
แต่หลังจากรู้เรื่องกระจ่างแล้ว นางควรจะทำอย่างไรต่อไป?
ทำตัวรักความยุติธรรมแล้วคลี่คลายคดีนี้เสีย หรือเห็นแก่ความสัมพันธ์ ปกปิดเรื่องนี้ให้หลินเจี้ยนหรู?
แต่ไม่ว่าเลือกทางไหนก็ล้วนไม่ดีต่อนางทั้งนั้น ตามหลักการนางควรให้หลินเจี้ยนหรูถูกลงโทษไป แต่ด้วยความเป็นเพื่อนนางจะทำลงได้อย่างไร?
ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาถึงตอนนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้นางปวดหัวมากที่สุด
คดีที่ทำให้วิ่งวุ่นแต่ก่อนกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปเลย!
หลังนั่งร้อนใจอยู่ในห้องสักครู่ นางก็ออกจากห้องไปเดินหมากกับอาฝูและรุ่ยเจี๋ยสักสองกระดาน จากนั้นจึงกลับไปดูที่หน่วยงาน จีหมิ่นจวินยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม คนที่ติดตามมาด้วยทั้งสามล้วนยืนอยู่ที่ประตู รองผู้บัญชาการสั่งการคนเฝ้าประตูไว้ว่าห้ามพวกเขาเข้ามา และก็ห้ามไม่ให้ไปเรียกนางมา ดังนั้นจึงจนปัญญาเช่นกัน
ครั้นกลับบ้านไปกินอาหารเย็น กำลังตั้งใจจะกลับห้องไปอ่านหนังสือ ก็พลันได้ยินเสียงลมพัดอยู่ในลานบ้าน เมื่อเปิดหน้าต่างออกไปดู พบว่าซ่างกวนสุ่นกลับมาแล้ว ปีกอันใหญ่โตเกือบจะทำให้ดอกไม้ที่นางเพิ่งปลูกไว้หลุดร่วง!
พอนางเปิดประตู เขาก็กลับคืนร่างคนแล้วเดินเข้ามา
“เหนื่อยจะตายชัก!” เขาพร่ำบ่น จากนั้นดึงเก้าอี้นางมานั่งตามอำเภอใจ
มู่จิ่วมองเขาสองครา ยื่นหน้าออกไปตะโกน “เสี่ยวซิง!”
คนบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่งหลังตรงขึ้นมาทันทีราวกับถูกเข็มทิ่ม ยังไม่ทันได้โวยวาย ก็มีเสียงหวานๆ จากนอกประตูลอยเข้ามา “มีอะไรรึ?”
มู่จิ่วมองค้อนเขา กอดอกพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่จะถามว่าเจ้าเก็บข้าวไว้ให้ซ่างกวนสุ่นหรือไม่”
“เก็บไว้แล้ว เรียกเขามากินเองเถอะ!” เสี่ยวซิงกวาดพื้นสักหน่อยก็เดินหายไปอีก
ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่มู่จิ่ว นางยิ้มพลางเอ่ย “เจอหลินเจี้ยนหรูหรือไม่?”
“ไม่เจอ!” ซ่างกวนสุ่นอารมณ์ไม่ดี
“ไม่เจอ?” มู่จิ่วหรี่ตา
ซ่างกวนสุ่นดื่มน้ำก่อนตอบ “ตอนนี้อาคมของเขากับข้าไม่ต่างกันเท่าไหร่ ในเมื่อเจ้าให้ข้าไปแอบสืบ ข้าย่อมต้องไม่เข้าใกล้เกินไปอยู่แล้ว!”
“แม้จะไม่เจอเขา แต่มั่นใจได้ว่าหลินเจี้ยนหรูอยู่ที่สำนักแรกพยับแน่นอน ทั้งยังได้รับการยกย่องจากหัวชิง ไม่รู้ว่าเพราะจีหมิ่นจวินค้านหัวชนฝาหรือไม่ เขาจึงไม่ได้ไปพักที่ยอดเขาบัวหยก แต่ไปอยู่ที่เรือนบนยอดเขาด้านตะวันตกของยอดเขาขลุ่ยหยกแทน”
“เขามีเรือนเป็นของตนเองด้วย?” มู่จิ่วถาม
แม้ว่าแต่ละสำนักจะมีกฎไม่เหมือนกัน แต่ตามปกติมีเพียงเซียนขั้นหัวเสินขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีเรือนส่วนตัว แบบนี้หมายความว่าอาคมของเขาถึงขั้นหัวเสินแล้ว? หัวชิงยอมรับฐานะของเขาในสำนักแรกพยับหรือ?
แต่เดิมนางไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้นางไม่เชื่อไม่ได้แล้ว
ทว่าหัวชิงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เขาคงไม่ได้วางกับดักไว้กระมัง?
“มีอะไรอีก?” นางถาม
“เหมือนพวกเขาจะให้หลินเจี้ยนหรูเข้าไปแทนที่ตำแหน่งผู้อาวุโสของหลินเซี่ยแล้ว”
ผู้อาวุโส!
นี่ยิ่งน่าตกตะลึงกว่าเดิม! ตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักไม่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ จากลูกนอกสมรสที่โดนผู้คนดูถูกกลายเป็นผู้อาวุโส นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
และเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จีหมิ่นจวินกลับไม่ได้เอ่ยถึง แสดงว่าเรื่องนี้คงเกิดหลังจากที่นางออกมาแล้ว
เช่นนั้นหัวชิงรู้หรือไม่ว่าจีหมิ่นจวินมาที่สวรรค์?
นางรู้สึกว่าอยู่ๆ หัวชิงไม่อาจเปลี่ยนไปได้มากเช่นนี้ แต่ก่อนยังรังแกเขา เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดา
แต่เดิมนางคิดว่าจะปิดคดีนี้อย่างไรให้ดี ตอนนี้กลับกังวลว่าหัวชิงจะวางกับดักทำร้ายหลินเจี้ยนหรู ในเมื่อหัวชิงไม่ถูกกับจีหมิ่นจวิน และตอนนี้ยังดำรงตำแหน่งเจ้าสำนัก เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจวางกับดักให้จีหมิ่นจวินกระโดดลงไป แล้วจัดการนางกับหลินเจี้ยนหรูไปพร้อมกันทีเดียว
คิดได้เช่นนี้นางก็ยืนขึ้นมา “ให้อาฝูไปหน่วยลาดตระเวนเป็นเพื่อนข้าหน่อย!”
พูดจบนางหยิบกระบี่ขึ้นมา แล้วเดินออกประตูไป
จีหมิ่นจวินที่อยู่ในหน่วยลาดตระเวนไม่คิดเลยว่าจะถูกเด็กสาวกลั่นแกล้ง จึงโกรธเคืองยิ่งนัก แม้นางจะไม่มีเหตุขัดแย้งโดยตรงกับมู่จิ่ว แต่ก็ฟังเรื่องราวของนางจากจีหย่งฟางมามาก จีหย่งฟางถูกมู่จิ่วผลักกระเด็นที่ประตูสวรรค์แดนใต้ เรื่องนี้นางจะปล่อยผ่านได้หรือ? นางเป็นใหญ่อยู่ที่อาณาจักรจื่อจิว ผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ คนหนึ่งสำหรับนางแล้วนับเป็นอะไรได้? ดังนั้นจึงไมได้มองมู่จิ่วอยู่ในสายตา
แต่ตอนนี้นางกลับทำอะไรมู่จิ่วไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์แล้วยังสั่งสอนนางอีก
มู่จิ่วก็ทำเพื่อลดความทระนงของนางลง เดินเข้าไปในประตูกับอาฝูและซ่างกวนสุ่น ทางซ้ายเป็นเสือขาว ทางขวาเป็นนกต้าเผิง ยิ่งทำให้นางดูน่าเกรงขาม
“เจ้าออกมานานเท่าไหร่แล้ว?” นางเก็บเชือกมัดเซียนกลับมา ก้มหน้าลงถาม
จีหวิ่นจวินอดกลั้นอารมณ์ กัดฟันตอบว่า “สองวันแล้ว!”
มู่จิ่วถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าสองวันนี้สถานการณ์ที่สำนักแรกพยับเป็นเช่นไร? หัวชิงรู้หรือไม่ว่าเจ้าขึ้นสวรรค์มา?”
“ข้าออกมาแล้วจะรู้เรื่องได้อย่างไร! ข้าจะใส่ใจไปทำไมว่าหัวชิงจะรู้หรือไม่?! สุดท้ายคือข้าร้องทุกข์คดีนี้แล้ว เจ้าต้องสืบออกมาให้กระจ่าง!”
นางเป็นท่านหญิงจนเคยตัว มาถึงสวรรค์ก็ยังวางก้าม
มู่จิ่วก็ไม่อยากเปลืองความคิดสอนนางเรื่องมารยาท เพียงโบกมือแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลับไปสำนักแรกพยับกับข้า!”
ไม่สนว่าหลินเจี้ยนหรูกับหัวชิงจะมีแผนการอะไร นางอยากเห็นจีหมิ่นจวินกลับไปยังแรกพยับ อยากเห็นว่าจีหวิ่นจวินที่อยากสับหลินเจี้ยนหรูจนแหลกละเอียด เห็นเขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้อาวุโสซึ่งสูงส่งกว่าตนเองจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
จีหมิ่นจวินไม่ปฏิเสธ อีกอย่างหากต้องการสืบ จะไม่ไปปดูที่เกิดเหตุได้อย่างไร?
มู่จิ่วเรียกรองผู้บัญชาการหลี่อี้มา และยังพาเจ้าหน้าที่ไปด้วยอีกสี่คน รวมถึงซ่างกวนสุ่นและอาฝูด้วย ทั้งคณะออกเดินทางในยามค่ำคืนสู่สำนักแรกพยับ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อถึงสำนัก ทั้งภูเขายังสว่างไสวไปด้วยคบไฟ
มู่จิ่วไม่สนใจสิ่งใด มุ่งไปยังยอดเขาขลุ่ยหยกที่เจ้าสำนักพำนักอยู่ ขณะที่ยังห่างจากปลายทางอีกสามถึงห้าลี้ ในห้องพลันมีเซียนเด็กรับใช้โผล่หน้าออกมา เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารสวรรค์มาเยือน เซียนเด็กรับใช้นิ่งอึ้ง ยิ่งเห็นว่าคนที่ร่วมทางมาด้วยคือจีหมิ่นจวินก็ตกตะลึงไปแล้ว
……………………………