ลู่ยาเริ่มค่อยๆ สอนนางควบคุมฤทธิ์ทีละขั้น
พลังบำเพ็ญของนางเริ่มสะสมตั้งแต่ถือกำเนิดแล้ว ดังนั้นจึงมีความสามารถในการควบคุมหกวิญญาณ
แต่เพราะพลังบำเพ็ญไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับพลังวิญญาณ ดังนั้นพลังวิญญาณของนางจึงไม่มีรูปแบบ ทั้งยังสามารถระเบิดออกมาตามอารมณ์ต่างๆ หากไม่สอนนางควบคุม นอกจากจะมิอาจใช้ประโยชน์จากพลังวิญญาณนี้ได้ถูกต้องแล้ว ยังจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก
ลู่ยาเห็นนางฉลาดเฉลียวเช่นนี้ จึงสอนนางไปอย่างช้าๆ
ทุกวันตอนเช้าฝึกพลังวิชาสองชั่วยาม ตอนบ่ายพานางไปอ่านหนังสือเรียนอักษร หรือไปอาบแดดและถือโอกาสสอนนางเรื่องอื่นๆ เล็กน้อย
แต่ก่อนรอบๆ คลื่นจิตพสุธาเป็นเพียงความว่างเปล่า แต่หลังจากที่นางมาจุติ ดอกไม้ใบหญ้าก็ค่อยๆ งอกเงย ผ่านไปไม่กี่เดือน อาศัยพลังวิญญาณของนาง ที่ที่แต่ก่อนทุรกันดารก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีเขียว สถานที่ที่นางเคยไปมีดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่ง ต้นไม้สูงตระหง่าน แม้แต่ผลไม้ป่าก็ยังหอมหวานเป็นพิเศษ
การมาจุติของนางก็ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน อวี้ตี้หวังหมู่และทวยเทพทั้งสี่ทิศต่างก็มากราบไหว้ แต่ก็ถูกลู่ยาขวางไว้ที่ด้านนอก
นางสำคัญเกินไปและแข็งแกร่งเกินไป เขาจำต้องให้นางมีจิตใจที่เติบโตมั่นคงก่อนแล้วค่อยให้นางรับการเคารพบูชา
เทพสาวไม่รู้เรื่องเหล่านี้ หลังจากมาจุติเห็นแต่เพียงลู่ยาเพียงคนเดียว โลกของนางมีเพียงเขาเท่านั้น ถึงแม้ลู่ยาจะเล่าเรื่องความโหดร้ายและความรุ่งเรืองของโลกนอกคลื่นจิตพสุธา เล่าเรื่องความรักความแค้นมากเท่าไหร่ ถึงแม้นางจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนกับแมลงปอที่แตะลงบนผิวน้ำเพียงแผ่วเบาเท่านั้น
นางไม่เข้าใจว่าอะไรคือความรักหนุ่มสาว ความรักแบบครอบครัว และความรักแบบเพื่อน ความรู้สึกทั้งหมดของนางเกิดเพราะลู่ยาเท่านั้น
แต่แววตาที่นางมองลู่ยาอ่อนหวานจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำได้
ยามเห็นพระอาทิตย์ นางก็จะบอกว่ามันเหมือนกับเจ้าตอนยิ้ม อ่อนโยนยิ่งนัก
ยามเห็นพระจันทร์ นางก็จะบอกว่าตอนที่เจ้าช่วยห่มผ้าให้ข้าช่างอบอุ่นเหมือนกับแสงจันทร์
ยามเห็นดวงดาว นางก็จะถามว่าพวกมันเปลี่ยนมาจากดวงตาของเจ้าหรือไม่? ถึงได้สว่างเจิดจ้าเพียงนั้น
ลู่ยารู้ว่าเขาหน้าตาหล่อเหลา แต่ถูกนางชมเช่นนี้ ในใจก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าสบโอกาสนางจะชอบกอดเขา และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มดึงนางเข้ามากอดในอ้อมอกยามที่เล่าเรื่องเทพเซียน รวมทั้งทุกข์และสุขที่เขาประสบมาให้ฟัง ไม่รู้เป็นเพราะมีนางเป็นผู้ฟังคนเดียวหรือไม่ คำพูดที่เขาพูดกับนางรวมกันแล้วมากกว่าเวลาก่อนหน้านี้รวมกันเสียอีก และอดทนกว่ามากนัก
เขาค่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าคลื่นจิตพสุธานี้ไม่ได้น่าเบื่อนัก
ถึงแม้จะบอกว่านอกจากพวกเขาสองคนก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นแล้ว
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ฉางเอ๋อร์พากระต่ายหยกผ่านมาทางถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ตอนที่เขานั่งสมาธิก็สัมผัสได้แล้ว ดังนั้นจึงไปหาฉางเอ๋อร์เพื่อขอกระต่ายหยกมาให้นางเล่น ครั้งแรกที่นางเห็นสิ่งมีชีวิตที่ขยับได้ก็วางมันไว้บนหญ้า แล้วหมุนอยู่รอบมันอย่างมีความสุข อุทานอย่างตกใจไม่หยุดว่าที่แท้นี่คือกระต่าย
กระต่ายหยกงุนงงเล็กน้อย มันไม่เคยเจอเทพเซียนที่ไม่เคยเห็นแม้แต่กระต่ายมาก่อน
ลู่ยาเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ดีใจมาก เอ่ยว่า “เจ้าเลี้ยงมันได้สามวัน ตั้งชื่อให้มันได้”
นางเงยหน้าขึ้นมา “แต่ตัวข้าเองยังไม่มีชื่อเลย”
ลู่ยาก้มหน้าลูบหน้าผาก ทั้งคลื่นจิตพสุธามีพวกเขาอยู่สองคน และนางก็อยู่กับเขาตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเรียกชื่ออะไรกัน ชื่อกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น ดังนั้นเขาจึงไม่เคยตั้งชื่อให้นางมาก่อน คิดได้เช่นนี้เขาก็พูดขึ้น “เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าแล้วกัน”
“ชื่อลู่เสี่ยวยาเถอะ” นางบอก
กระต่ายหยกระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ลู่ยาก็ยิ้มเอ่ย “ลู่เสี่ยวยาไม่ได้ ชื่อของเด็กผู้หญิงก็ต้องให้สมกับเด็กผู้หญิงหน่อย”
“เช่นนั้นก็อาลู่”
“ไม่เพราะ” ลู่ยาเท้าคางส่ายหน้า “เจ้าเลือกชื่อที่เหมือนเด็กผู้หญิงในโลกมนุษย์ก็ได้ พวกถิงเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์อะไรนั่น”
“ไม่ ข้าอยากชื่อเหมือนเจ้า” เทพหญิงกล่าว “เจ้าแซ่ลู่ ข้าก็อยากแซ่ลู่ เจ้าชื่อลู่ยา เช่นนั้นข้าจะชื่อลู่ยวน”
ลู่ยาชะงักไปนิด “นี่เจ้าเอามาได้อย่างไร?”
เทพสาวอธิบายทันที “เจ้าคือ ‘ยา’ (เป็ด) เช่นนั้นข้าก็อยากจะเป็นสัตว์ปีกเช่นกัน แต่อย่างไรข้าก็ไม่อาจชื่อลู่จี (ไก่) ลู่เอ๋อร์ (ห่าน) แค่ ‘ยาง’ (นกเป็ดน้ำ) ก็พอแล้ว แบบนี้พวกเราก็สามารถลอยอยู่ในน้ำได้ ไม่แยกจากกันตลอดกาล”
กระต่ายหยกหัวเราะจนหงายท้องลงกับพื้น
ลู่ยาลูบหน้าก่อนเอ่ย “ชื่อยางก็ไม่ดี ยางควรจะอยู่คู่กับยวน ไม่เข้าคู่กับยาของข้าอยู่ดี”
เทพสาวชะงัก พูดอีกว่า “อย่างนั้นข้าชื่อลู่จี”
ลู่จี[1]?
“ไม่ได้ ทำไมเจ้าต้องแซ่เดียวกับข้าด้วย?” ที่สำคัญคือเขาไม่ได้แซ่ลู่ และไม่ได้ชื่อลู่ยาที่หมายถึงเป็ดด้วย!
“เพราะในหนังสือบอกว่าหญิงสาวแต่งงานต้องตามสามี ต้องเปลี่ยนใช้แซ่ตามสามี!” เทพสาวยกหนังสือในมือขึ้นมา
ลู่ยาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ที่แท้นางก็มองเขาเป็นสามีแล้ว!
“อาลู่!”
ขณะกำลังจะอธิบายให้นางเข้าใจ ลู่จีกลับกระโจนขึ้นมาบนร่างเขาราวกับนกน้อย เอาใบหน้าแนบใบหน้าเขาพลางออดอ้อน “เจ้าแต่งกับข้าเถอะ ข้าอยากแต่งให้เจ้า”
เพียงหันหน้าไป ริมฝีปากเขาก็จะแตะถูกใบหน้านาง ทั้งร่างร้อนผ่าวราวมีไฟเผา แต่ไม่กล้าผลีผลามทำอะไร
ปกตินางก็ชอบเข้าใกล้แบบนี้ แต่ไม่เคยเกินเลย เขารักนางเหมือนกับที่รักของล้ำค่า ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น
แต่นางในตอนนี้ทั้งอบอุ่นทั้งอ่อนโยน เหมือนกับเถาวัลย์ที่อาลัยอาวรณ์อยู่บนต้นไม้โบราณ ราวกับเกสรดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม
ไม่ว่าเขาจะควบคุมกิเลสอย่างไร ความงามกับความเย้ายวนใจของนางก็อยู่ตรงนั้น เพียงแค่เขายื่นมือไปก็สัมผัสได้
มีคลื่นเกิดขึ้นในใจลู่ยา ลมไม่รู้พัดไปที่ใด และกระต่ายหยกก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว
เขาหันไปมองผิวเนียนดุจหยกของนาง รู้สึกอยากจุมพิตขึ้นมา
ใช้ชีวิตมาหลายแสนปี เขาทำตัวตามอำเภอใจ ไม่เคยผูกมัดกับอะไร เวลานี้กลับมีความคิดอยากครอบครองนาง
สันจมูกของเขาสัมผัสใบหน้านาง กลิ่นหอมประจำตัวลอยเข้าไปในจมูกของเขา
ใจลู่ยาเบิกบานราวกับดอกไม้
แต่ตอนที่ริมฝีปากเขาสัมผัสถูกนาง ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง…หากเขาฟังไม่ผิด เมื่อกี้นางพูดว่าอยากแต่งให้เขา?
“อาลู่ อาลู่” นางออดอ้อนอยู่ข้างหู เสียงดั่งอุ้งเท้าน้อยๆ ของแมว แต่ละครั้งสั่นไหวหัวใจของเขา
ลู่ยาปล่อยมือ มองไปข้างหน้าขณะที่สีหน้าอ่อนลง
จากนั้นดึงนางเข้ามาในอก อาศัยตอนที่นางยังไม่ทันตอบโต้ ร่ายอาคมสงบใจลงบนหน้าผาก มองนางค่อยๆ หลับไป
หลังจากลู่จีตื่นขึ้นมาก็ลืมเรื่องทั้งหมดอย่างที่เขาตั้งใจไว้…อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่าแบบนั้น
ตอนที่นางดีใจยังเหมือนนกกระจาบฝน ตอนสงบคล้ายดอกบัวสีม่วง ตอนตั้งใจจริงขึ้นมาก็เหมือนกับราชินี ยามอ่อนโยนก็เหมือนกับหยดน้ำจากน้ำพุตามธรรมชาติที่ทั้งบริสุทธิ์และสงบนิ่ง
ลู่ยาไม่อาจให้นางคิดปัญหาเรื่องนั้นต่อไป
ในหลายแสนปีมานี้เขาพบเจอเรื่องมามากเกินไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอคนที่ทำให้เขาใจหวั่นไหวมาก่อน แต่อาการใจเต้นเช่นนั้น เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถึงขั้นอยากมีอยากได้หรือต้องการเคียงคู่ตลอดชีวิต ก็เหมือนกับฟองคลื่น แค่ระลอกคลื่นพัดผ่านมาก็หายไป
ลู่ยาเชื่อว่าเขารู้สึกเช่นนั้นกับลู่จี ถึงแม้เขาจะยินยอมให้นาง ‘ใช้แซ่ตามสามี’ อยู่ในใจเงียบๆ แล้วก็ตาม
………………………….
[1] จี (姬) ซึ่งเป็นคำเรียกผู้หญิงในสมัยโบราณ พ้องเสียงกับคำว่า จี (鸡) ที่หมายถึงไก่