“เจ้าหวังดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” มู่จิ่วยิ้มเยาะ
“ข้าร้ายถึงเพียงนั้นเลย?”
มู่จิ่วเหลือบมองเขา “ก็ไม่แน่”
ลู่ยามองนางด้วยตาคมกริบ ค่อยๆ ปอกลูกสนทีละลูก
มู่จิ่วก็จับตามองการเคลื่อนไหวของเขา คราวก่อนตอนอยู่ใต้พื้นพิภพของถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เขาก็ปอกส้มให้นางกิน หรือเขาจะปอกลูกสนนี้ให้นางเช่นกัน?
“ข้าไม่ชอบกินลูกสน”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะให้เจ้ากิน” ลู่ยาเงยหน้าเอาลูกสนที่ปอกแล้วเข้าปาก เคี้ยวคำใหญ่
มู่จิ่วสะอึก
ขณะมองเขาที่ทำตัวไร้เหตุผล มู่จิ่วก็ขบคิด
ในความเป็นจริง มู่จิ่วก็ไม่เข้าใจว่าเขาลักพาตัวนางมามีประโยชน์อะไร คงไม่ใช่อยากให้นางกลายเป็นมารหญิงด้วยหรอกนะ?
แต่เขามีหลินเจี้ยนหรูแล้ว ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้เลยมีไม่มากนัก
นางขมวดคิ้วถามเขา “เขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา เจ้าสร้างขึ้นใช่หรือไม่? พลังที่เจ้าบำเพ็ญทำไมถึงเป็นพลังเสวียนหมิงของลู่ยาได้?”
“เจ้าจะรู้เรื่องราวเหล่านี้เองในภายหลัง ตอนนี้ข้ายังบอกไม่ได้”
สายตาของชายชุดเขียวหยุดอยู่ที่นางอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ปัดๆ เศษลูกสนที่อยู่บนเข่าทิ้งก่อนยืนขึ้น “หน้าที่ของข้าคือพาเจ้ากลับมา พลังวิญญาณของเจ้าพลุ่งพล่าน ข้าต้องช่วยเจ้าสะกดมันลงไป ดังนั้นหลายวันนี้เจ้าจำต้องอยู่ที่นี่ ไม่อาจไปไหนส่งเดชได้” พูดจบเขาก็เสริมต่อ “อีกเรื่องคือพรุ่งนี้ข้าจะติดโคมและอื่นๆ ให้ คืนนี้เจ้ากลับห้องเจ้าไปพักผ่อนก่อน”
เขาพูดเรื่องที่จะพานางกลับบ้านได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับที่นี่เป็นบ้านของนางเองอยู่แล้ว
มู่จิ่วพูดไม่ออกอยู่บ้าง
แต่ในเมื่อครั้งนี้มีประตูและหน้าต่าง มีหรือนางจะออกไปเองไม่ได้?
นางเหลือบมองประตูที่ปิดอยู่ ก่อนหันหลังเดินออกมา
เมื่อมาถึงลานโล่งจึงทดลองลอยตัวขึ้นไป แต่เมื่อขึ้นไปกลางอากาศ แล้วกลับมามองการจัดเรียงของ ‘คฤหาสน์’ ที่นี่ดูยิ่งใหญ่กว้างขวางกว่าที่นางคิดไว้มาก นี่ต้องไม่ใช่เพียงคฤหาสน์แน่ แต่ต้องเป็นวังขนาดใหญ่! เพียงแต่บริเวณโดยรอบของวังนี้ทั้งมืดและเย็น ไม่รู้ว่าทำไมกระทั่งคนยังไม่มี
นางลองบินไปนอกวัง เมื่อมาถึงกำแพงกลับขยับไม่ได้ ตรงนี้มีเขตพลังอันแข็งแกร่งขวางอยู่!
“คนระยำ”
นางเตะกำแพงวัง
หรือที่เขายอมปล่อยนางออกมาข้างนอก เพราะมั่นใจว่านางจะออกไปไม่ได้
แบบนี้นางก็ไม่อาจไม่รั้งอยู่ต่อแล้ว
มู่จิ่วถลึงตาใส่ที่พักของเขาสักสองครา ก่อนจะยอมหันกลับไป
นางไม่อยากกลับไปห้องเมื่อสักครู่
ทั้งยังนอนไปนานขนาดนั้น สถานที่ก็แปลกประหลาด ไหนเลยจะรู้สึกง่วงได้? มู่จิ่วมองไปรอบๆ อาคาร ตัดสินใจทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อน ลู่ยายังไม่รู้ว่านางไปไหน ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่านางหายไปไหน! เกิดเขากลับมาแล้วไม่เจอนาง เขาอาจจะร้อนใจได้! นางต้องหาโอกาส ไม่อาจอยู่ที่นี่นานเกินไป
นางถือไข่มุกราตีเดินเล่นไปทั่ววังคลื่นจิตพสุธาอันกว้างใหญ่ แต่ละชั้นแต่ละห้องไม่ปล่อยผ่าน บนยอดหลังคามีเสื้อคลุมเขียวลอยไปมาในความมืด สายตาเหมือนกับโคมไฟส่องสว่างวูบไหวในยามราตรี
จนกระทั่งฟ้าสว่าง นางก็เดินสำรวจไปได้กว่าครึ่งแล้ว
แต่อันที่จริงก็แค่เดินไปได้กว่าครึ่งเท่านั้น รอบด้านนั้นมืดมาก และนางก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ได้เข้าประตูไปสำรวจอย่างละเอียด
ท้ายที่สุดก็กลับเข้ามาเรือนที่นางฟื้นขึ้น ถ้ามีอันตราย ที่นี่ก็เป็นเรือนทำให้นางรู้สึกสบายใจที่สุด อย่างน้อยนางก็รู้ชัดว่าในนี้มีอะไรอยู่บ้าง
มู่จิ่วนอนกอดกระบี่อยู่บนเตียง ก่อนจะหลับลึกไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว รองเท้าถอดออกเรียบร้อย วางกระบี่ไว้ด้านหนึ่ง คลุมผ้าห่มเรียบร้อย กระทั่งปิ่นปักผมยังถูกดึงออก
นางรีบลุกขึ้นมาทันที สวมรองเท้าวิ่งไปข้างนอก มุ่งไปเปิดประตูทางตะวันออก ยังคงว่างเปล่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม วิ่งไปทางตะวันตกบนระเบียงทางเดินยาว มีโคมแขวนอยูทั้งสองข้าง บนพื้นก็มีวางไว้มากมายเช่นกัน ชายชุดเขียวยืนอยู่บนระเบียง ร้อยเชือกเส้นเล็กๆ ใส่ห่วงเงินบนโคมอย่างระมัดระวัง จากนั้นเกี่ยวตะขอ แขวนไว้บนระเบียงทางเดิน
มู่จิ่วคิดไม่ถึงว่าเขาจะแขวนโคมจริงๆ
มีนางเป็นนักโทษคนเดียวเท่านั้น จำเป็นด้วยหรือ?
นางหันกลับไปที่ห้อง ปิดประตู นั่งหมอบเหม่อลอยอยู่บนโต๊ะ
นางไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ออกไปไม่ได้ เมื่อมองดูความกันดารของที่นี่ เกรงว่าจะไม่เคยมีแขกมาก่อน
หากพวกซ่างกวนสุ่นรู้ว่านางหายไป คงจะรีบกลับสวรรค์ไปบอกลู่ยา แต่ลู่ยายังคงอยู่ที่หงชางหรือที่อื่น ไม่รู้ว่าเขาจะรีบกลับมาได้หรือไม่ หากรีบกลับมาได้เขาย่อมต้องเร่งตามหานางแน่ ทว่าคราวก่อนที่ชายชุดเขียวลักพาตัวนางมา เขากลับหานางไม่เจอ เช่นนั้นครั้งนี้จะหาเจอหรือไม่ยังไม่อาจรู้ได้…
ชายชุดเขียวผู้นี้ แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องยังไงกับนาง?
ครั้งก่อนยังไม่รู้ตัว แต่ครั้งนี้มั่นใจว่าต้องคุ้นเคยกับนางมากทีเดียว เขายังรู้ว่าร่างของนางมีพลังวิญญาณที่บ้าคลั่งอยู่ ทั้งยังจะช่วยนางควบคุม นี่มิใช่หมายความว่าเขารู้ที่มาที่ไปของนางหรือ?
คนผู้นี้ทำเรื่องชั่วช้า คงไม่ใช่ว่าชาติก่อนนางก็เป็นมารเช่นเดียวกัน และเคยร่วมมือกับเขาทำลายล้างฟ้าดินหรอกกระมัง?
นางมีความสามารถขนาดนี้ด้วยหรือ?
หากไม่ใช่ เช่นนั้นเขาคิดจะทำอะไร?
มู่จิ่วครุ่นคิด เงยขึ้นมาจากโต๊ะแล้วมองไปข้างนอก ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันเยี่ยมหน้าออกไปทางหน้าต่าง ก็ชนเข้ากับเหล็กแผ่นหนึ่ง!
“ในเมื่อตื่นแล้วก็ออกมาช่วยกัน!”
ลู่ยายื่นมือเข้ามาจากข้างนอก ดึงนางออกจากห้องไป
มู่จิ่วอยากจะด่ามารดานัก!
เมื่อมาถึงระเบียงทางเดิน ลู่ยาหยิบผลไม้ที่ไม่ทราบนามจากถาดด้านข้างส่งให้นาง จากนั้นหยิบด้ายขึ้นมา บอกนางว่าต้องทำอย่างไร
มู่จิ่วประคองถาดไว้ อยากจะตีหน้าเขา…แต่เพราะเห็นพลังรุนแรงที่แผ่ออกมาจากแผ่นหลังจึงได้ล่าถอยไป
ช่างเถอะ อดทนไปก่อน รอจนลู่ยามาแล้วค่อยว่ากัน
นางกินผลไม้อย่างว่าง่าย และร้อยด้ายบนโคม
ลู่ยาที่หันหลังให้นางยกยิ้มมุมปาก แสงอาทิตย์ส่องกระทบใบหน้า เจือความอ่อนโยนพร้อมแสงสะท้อนพร่าตา
สำหรับเขา วังคลื่นจิตพสุธาในตอนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้อาจเป็นเพราะเจ็บปวดเสียใจจนเกินไป เพียงแค่มองวังนี้ก็รู้สึกอึดอัดแล้ว แต่ตอนนี้ถึงแม้จะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเช่นเดิม เขาก็รู้สึกมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น
“เจ้าอยู่ที่นี่ทุกวันหรือ?” มู่จิ่วถาม
“ไม่ใช่ บางครั้งข้าก็ออกไปข้างนอก” เขาแขวนโคม ก่อนจะหยิบขึ้นมาอีกอัน “แต่ส่วนมากจะอยู่ที่นี่”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว “เช่นนั้นตอนเจ้าออกไปข้างนอก ก็เป็นเวลาที่เจ้าออกไปก่อเรื่องทำคดียุ่งยากให้ข้าสินะ?”
ลู่ยาไม่ได้ตอบ ขยับมือต่อโดยไม่มองนาง แต่บรรยากาศกลับดูสบายๆ
มู่จิ่วขมวดคิ้วอีก ถึงแม้นางจะไม่ได้รับผลร้ายที่เป็นชิ้นเป็นอันจากคดีเหล่านี้ และยังได้รับบุญกุศลมาไม่น้อย แต่นางไม่ชอบถูกคนปั่นหัว อีกทั้งพวกเขายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน เขาจะสร้างคดีเหล่านี้มาเพื่อช่วยนางทำไม? ประเด็นคือเขายังทำให้หลินเจี้ยนหรูกลายเป็นมารด้วย!
“หากเจ้าไม่บอกแผนการของเจ้าแก่ข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะทำลายเขตพลังแล้วหนีออกไป” นางจ้องแผ่นหลังของเขา
“เจ้าออกไปไม่ได้” ลู่ยาพูด ครั้นเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนทันควันจึงรีบเอ่ย “เจ้าไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น อยู่ที่นี่ฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างสงบ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป…หากในตอนนั้นเจ้ายังอยากเจอลู่ยาอยู่” เขาเสริมประโยคสุดท้าย มองนางอย่างล้ำลึก ก่อนจะหันกลับไปแขวนโคมต่อ
มู่จิ่วชะงักงันไปเพราะคำว่า ‘ลู่ยา’ ตื่นตระหนกอย่างคนไม่ได้ความ
………………………………..