ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 53

เล่าเรื่อง

มู่เสี่ยวซิงมองลู่ยาที่มีท่าทางเอาจริงเอาจัง อดไม่ได้ที่จะถาม “นางไปไหนรึ?”

ลู่ยาเอามือไพล่หลังเดินกลับห้อง “มิใช่เดินเล่นแถวนี้หรือ”

จะไปไหนได้อีก? หรือว่านางยังคิดจะไปนัดพบกันกับคนแซ่หลินนั่นที่เก้าทวีปสี่ทะเลกันเล่า

มู่จิ่วไปถึงประตูสวรรค์แดนใต้ หลินเจี้ยนหรูรออยู่ก่อนแล้ว ตอนเห็นนางก็ยิ้มน้อยๆ ดูไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

ประตูสวรรค์มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเดินทางไปยังโลกมนุษย์ เพราะได้รับการอนุมัติมาแล้ว ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้ หลังจากยื่นป้ายผ่านทางให้ทหารตรงปากประตู ทั้งสองคนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงลั่วหยางแห่งราชวงศ์หนิง

นี่คือจักรวาลคู่ขนานของสมัยสุยถังซ่งหยวนที่มู่จิ่วเคยมีชีวิตอยู่ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์และชื่อสถานที่ต่างก็เหมือนกัน

ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิเขียวชอุ่ม เทศกาลซ่างซื่อเป็นงานใหญ่ของราชวงศ์หนิง เพียงแค่ยามเฉิน ริมแม่น้ำลั่วสุ่ยตอนนี้ก็มีชายหนุ่มหญิงสาวรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ คู่ๆ เต็มไปหมด

ประเพณีของราชวงศ์หนิงค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ปกติผู้หญิงในเรือนมีโอกาสน้อยมากที่จะออกมาข้างนอก

แต่เทศกาลซ่างซื่อเป็นช่วงที่อนุญาตให้พวกนางออกมาเที่ยวเล่น พูดคุยกับชายที่ยังไม่แต่งงานก็ไม่มีใครตำหนิ เหล่านักกวีนักดนตรีอิสระเล่นชีสุ่ยหลิวซาง อยู่ที่ลำห้วยริมแม่น้ำลั่วสุ่ย บ้างก็ใช้พิณแทนความในใจหรือแสดงออกถึงพรสวรรค์ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ตรงไปตรงมา ใช้วิธีเหยียบส้นเท้าหรือดึงผมเพื่อแสดงออกถึงความรัก แน่นนอนว่ามีวิธีที่ยิ่งตรงไปตรงมามากกว่านั้น แต่ไม่ควรนำมาพูดถึง

โดยสรุปคือ เทศกาลซ่างซื่อก็เปรียบเหมือนเทศกาลวาเลนไทน์ของชาติก่อน ทุกครั้งหลังจากผ่านเทศกาลนี้จะต้องมีข่าวที่ขัดต่อหลักศีลธรรมตามมา แต่ราชสำนักก็อับจนหนทาง เพราะแต่เดิมฮ่องเต้กับฮองเฮาก็รู้จักกันในเทศกาลซ่างซื่อ หากห้ามเทศกาลนี้ไป มิใช่จะเป็นการตบปากตัวเองหรือ

ดีที่ว่าหากเรื่องเสียหายเป็นของคนมีชื่อเสียง ก็แอบปิดเรื่องนี้อย่างลับๆ หากเป็นคนธรรมดา ก็จัดการเรื่องแต่งงานไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ดังนี้แล้วฮ่องเต้จึงเปิดตาข้างปิดตาข้าง ทุกคนใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข

มู่จิ่วเดินไปตามตลิ่งก็ได้ยินคำซุบซิบ

แน่นอนว่านอกจากคำซุบซิบแล้ว ระหว่างทางยังมีแผงขายของอยู่ไม่น้อย

มู่จิ่วเดินดู หันไปคุยกับหลินเจี้ยนหรูอยู่บ่อยครั้ง แต่หลินเจี้ยนหรูใจลอยตลอดทาง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

และฝีเท้าของเขาก็ไม่เคยหยุด เมื่อมาถึงสะพานจิ่วชวี พลันเงยหน้าขึ้นมา ชี้ไปที่ตรอกทางขวาพลางพูดว่า “พวกเราไปเดินข้างในกันดูหน่อย”

ตรอกนี้เป็นตรอกแคบๆ ปกติ ทางเดินปูด้วยหินเขียวโค้งๆ งอๆ สองข้างทางเป็นตึกไม้สองชั้นเล็กๆ ระหว่างตึกไม้กับทางเดินหินมีลำน้ำกว้างประมาณฉื่อหนึ่งที่สะท้อนเงาทิวทัศน์เก่าแก่ บนผนังบ้านขึ้นตะไคร้น้ำ ทั้งยังมีไม้เลื้อยเกาะแน่น รอบด้านยังสามารถมองเห็นดอกเบญจมาศกับดอกอิ๋งชุนด้วย

สองข้างทางมีเสื้อผ้าที่ตากไว้บนท่อลำไผ่ และมีเสียงหญิงสาวที่แต่งงานแล้วกำลังด่าทอเด็ก

หลินเจี้ยนหรูจิตใจไม่วอกแวก เดินไปหยุดลงหน้ากำแพงลานบ้านที่ค่อนข้างต่ำกลางตรอก

ในกำแพงลานบ้านมีหญิงชราผมขาวยุ่งเหยิงนั่งพลิกเสื้อผ้าหาหมัดอยู่ใต้แสงแดด เมื่อหาเจอแล้วก็หนีบเข้าปากเคี้ยวอย่างยินดี เสียงดังกรุบกรอบห่างออกไปไกลยังได้ยิน ในลานบ้านพลันมีแมวคาบปลาเค็มกระโดดออกมา หญิงชราตาไวนัก ถอดรองเท้าผ้าขาดๆ ไล่ตามไป “เจ้าเดรัจฉาน! เจ้าขโมยปลาเค็มข้า!”

มู่จิ่วไม่เข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูมาหยุดอยู่ที่นี่ทำไม เงยหน้าขึ้นมองเขา กลับเห็นความเจ็บปวดในดวงตาที่หลุบต่ำลง

ใจของนางกระตุกเล็กน้อย ถามว่า “เจ้ารู้จักนาง?”

หลินเจี้ยนหรูเม้มปากแน่น ไม่ยอมพูด

มู่จิ่วมองหญิงชราอย่างประเมิน หลังโค้งงอ ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอก ที่จริงก็ไม่ต่างกับหญิงไม่สมประกอบในตลาดเลย

“นางเป็นแม่ของข้า” ตอนที่มู่จิ่วเลิกครุ่นคิดไปนั่นเอง หลินเจี้ยนหรูก็เปิดปากออกมา

“แม่ของเจ้า?” มู่จิ่วสับสน เขาอยู่มาสี่ร้อยปีแล้ว หญิงชราคนนี้ก็กำลังบำเพ็ญเป็นเซียนหรือ?

“นี่คือชาติถัดมาของนาง” หลินเจี้ยนหรูมองนางคราหนึ่ง เสียงเปลี่ยนไปทุ้มต่ำ รอยยิ้มสลดอยู่บ้าง “สนใจฟังข้าเล่าเรื่องไหม?”

มู่จิ่วไม่อาจบอกว่าไม่ฟัง จึงพยักหน้า

หลินเจี้ยนหรูพูด “แม่ของข้าเป็นบุตรสาวของพ่อค้าเกลือแห่งอาณาจักรจื่อจิวทางจิ่วโจวตะวันออก เมื่ออายุสิบห้าถูกปีศาจภูเขาทำให้ตกใจจนหมดสติไปหลายวัน ตาของข้าขอความช่วยเหลือจากสำนักแรกพยับให้ส่งคนลงเขามากำจัดปีศาจ หลินเซี่ยรับคำสั่งลงมา ผลคือเขาปกปิดเรื่องภรรยาของเขา หลอกลวงแม่ข้า จากนั้นก็มีข้า”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง จากนั้นยิ้มพลางพูดต่อ “ภายหลังตาของข้าทราบว่านางตั้งครรภ์ บีบบังคับแม่ข้าให้เปิดเผยชื่อฝ่ายชายออกมา นางไม่ยอม หอบเอาข้าในท้องขึ้นภูเขาไปหาหลินเซี่ย จึงได้รู้ว่าไม่เพียงเขาจะมีภรรยาอยู่แล้ว แต่ทั้งครอบครัวภรรยายังร้ายกาจมาก แม่ของข้าเหน็ดเหนื่อยและได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ จึงให้กำเนิดข้าก่อนกำหนด จากนั้นก็ถูกหลินเซี่ยวางยาพิษในถ้วยยา น่าสงสารที่นางตามหลินเซี่ยมาโดยไม่กล่าวโทษและไม่เสียใจเลย สุดท้ายตัวเองตายอย่างไรก็ยังไม่รู้”

“แต่หลินเซี่ยไม่หยุดเพียงเท่านี้”

เขามองหญิงชราที่ไล่ตีแมวอยู่ห่างออกไปไม่ไกล “เขาเกรงว่าวิญญาณของแม่ข้าที่ตายไปจะไปร้องเรียน ระหว่างทางไปสู่โลกแห่งความตายก็เรียกวิญญาณของนางมา ทำให้จิตต้นกำเนิดของนางบาดเจ็บ ทุกชาติภพจึงกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ ที่เจ้าเห็นตอนนี้คือนางในชาติที่สองหลังจากถูกหลินเซี่ยทำร้าย ชาติแรกเพราะสติไม่สมประกอบ ถูกลูกสาวทอดทิ้ง สุดท้ายตกแม่น้ำจมน้ำตาย”

“ชาตินี้พ่อแม่ของนางให้นางแต่งกับคนขายเนื้อ ก็ถูกคนขายเนื้อด่าทอกว่าครึ่งชีวิต จนถึงสิบปีก่อนคนขายเนื้อตายถึงได้หลีกเลี่ยงไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวได้ เพราะหลินเซี่ย ทุกชาติภพของนางเลยถูกกำหนดให้ลำบาก”

เสียงของเขาเหมือนกับโยนก้อนโคลนเข้าไปในน้ำ เปลี่ยนไปทุ้มต่ำและขุ่นมัว

ถึงแม้มู่จิ่วจะเคยพบเห็นเรื่องราวทำนองนี้มามาก แต่ครั้งนี้กลับเหมือนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ภายในจิตใจเขา

“ทำให้เจ้ากลัวหรือ?” เขายิ้มแล้วหันศีรษะมา

มู่จิ่วรีบโบกมือ “แน่นอนว่าไม่!”

เขายิ้มอีก จากนั้นก็หยิบเอาถุงซึ่งเต็มไปด้วยเศษเงินขนาดเท่าเม็ดบัวออกมาจากห่อผ้า เดินเข้าไปวางไว้บนม้านั่งที่หญิงชราเคยนั่ง

กลับมาแล้วก็พูดต่อ “ห้าสิบปีก่อนข้าสืบหาร่องรอยของนาง แอบมาหานางครั้งหนึ่ง หลังกลับไปก็ถูกอาจารย์แม่อ้างเรื่องที่ข้าแอบลงเขามาอย่างลับๆ ตีขาซ้ายจนหัก ตั้งแต่ตอนนั้นข้าจึงได้สาบานไว้ว่า ข้าต้องออกจากสำนักแรกพยับ ออกจากตระกูลหลิน ดังนั้นถึงแม้ข้าจะบำเพ็ญได้แค่ขั้นจู้จี ข้าก็ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างจนได้ขึ้นมาบนสวรรค์”

“ข้าไม่เพียงแต่ต้องการเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเอง ขอแค่มีชีวิตอยู่ข้าจะต้องเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางให้ได้ และทำให้ชาติต่อๆ ไปของนางไม่ต้องลำบาก ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ของข้า ถ้าไม่ใช่ปีนั้นนางเสี่ยงชีวิตคลอดข้าก็คงไม่มีข้า แต่ตอนนี้นอกจากนานๆ จะมาดูนางทีแล้ว ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีก”

ถึงแม้บนใบหน้าของเขาจะประดับด้วยรอยยิ้มตลอด อารมณ์ก็ไม่มีการกระเพื่อมไหว แต่มู่จิ่วฟังแล้วจิตใจกลับหนักอึ้งนัก

แต่ก่อนนางเข้าใจไปว่าเขาก็เป็นลูกนอกสมรสทั่วๆ ไป กลับคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะซ่อนความขัดแย้งอันลึกซึ้งไว้

“เช่นนั้นเจ้าคิดได้หรือยังว่าจะทำอย่างไร?” นางถาม

เขาส่ายหน้า “ไม่ว่าอย่างไร รอจนข้าพลังเพียงพอเมื่อไหร่ เรื่องแรกที่ข้าจะทำคือช่วยนางซ่อมแซมจิตต้นกำเนิด ”

มู่จิ่วพยักหน้า

มีเพียงซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดเท่านั้นที่จะช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตในชาติหลังๆ ของนางได้

เขามีความตั้งใจที่แน่วแน่แบบนี้ นางกลับชื่นชมยิ่งนัก

…………………………………………

 ชีสุ่ยหลิวซาง คล้ายประเพณีการละเล่นอย่างหนึ่ง ผู้คนจะรวมตัวกันอยู่ริมแม่น้ำสองฟาก จากนั้นปล่อยแก้วเหล้าให้ลอยไปตามกระแสน้ำ หากหยุดอยู่ตรงหน้าใครคนนั้นต้องดื่ม

 สะพานจิ่วชวี เป็นสะพานที่มีลักษณะคดเคี้ยว คล้ายทางชมสวนของจีน

 ดอกอิ๋งชุน หรือ Winter jasmine เป็นดอกไม้สีเหลือง ผลิบานรับฤดูใบไม้ผลิ

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset